พัฒนาเวลา
พัฒนาตน
พัฒนาความสุข
เวลานั้น จับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตน
แต่ตัวตนของเรา เป็นคนสร้างเวลา
และทำให้เวลา เกิดเป็นรูปธรรม
อีกนัยหนึ่ง คือ
อย่าคอยให้ " เวลา " มาวิ่งหาเรา
แต่เราต่างหาก
ที่จับตัวเอง เข้าไปหา " เวลา "
เรื่องการจัดสรรเวลา
ดูเหมือนจะยาก แต่แท้จริงแล้ว
มันยากตรงที่เราจับจุดประสงค์
และวางแผนการเดินสู่เป้าหมายไม่เป็น
หรือเปล่า...
ส่วนตัวแล้ว โดยรวมก่อนๆ
ให้จัดการ ตารางชีวิต ไม่ค่อยเป็น
สับสน มีเขวไขว วุ่นวาย
ตัดสินใจไม่ถูก
รู้สึกวันหนึ่งๆ
หายไปอย่างน่าตกใจ
ครั้งเมื่ออยู่ประเทศไทย
เรื่องจับงานนั้น มาบวกงานนี้
วิ่งงานซ้อนงาน วิ่งไปวิ่งมา กันให้พลั่ก
ชนกัน ตีกันซะฟุ้ง...
แค่นั้นยังไม่พอ
พอไปมุ่งมั่น แต่เรื่องงานมากเกินไป
ด้วยสถานะภาพ ที่มีครอบครัวแล้ว
เรากลับสูญเสีย เวลาแห่งความรัก
เวลาสำหรับลูกๆ เพื่อนๆ
ไปโดย ไม่รู้ตัว
บ่อยครั้งที่กลับเข้าบ้าน
เหนื่อยล้าจากงานไม่เท่าไหร่
รถติด ผลพวงพ่วงความล้าไปได้อีก
มีลูกสาว ลูกชาย มีเวลาให้เขานิดเดียว
แม่บ้านพี่เลี้ยง รับช่วงไปได้มากกว่าแม่ซะอีก
ด้วยค่านิยม ความกดดัน ของสังคม
เรื่องของการทำมาหากิน
หาเงินเข้าบ้าน
ไม่ว่าหญิงหรือชาย
มุ่งเน้นกันจนเคยชิน
คิดไปว่า เป็นเรื่องธรรมดาซะแล้ว
จนลืมนึกถึง คนข้างๆ คนในครอบครัว
การที่เรา หันมาตั้งเป้าหมาย
ให้ตรงกับสถานะของเรา
หรือของแต่ละคน และให้
ตรงกับใจเรามากที่สุดนั้น
เป็นเรื่องที่เราๆ
ควรพัฒนา ทำกัน
สร้างมันให้เกิดขึ้น
จุดประสงค์ เป้าหลัก คืออะไร
สิ่งไหน ที่คุณอยากได้อยากมี
มากที่สุด
วาง สร้าง ปรับ พฤติกรรม
วางแผน ให้เป็นช่วงระยะเวลา
หาเสาจับให้เจอ
เริ่มง่ายๆ จากการกำหนดวัน
กำหนดสัปดาห์
จนถึงหนึ่งปี สองปี และหลายๆปี
เอามาตั้งตรงหน้าคุณ
เขียนแปะผนังไว้ก็ได้
เดินเข้าเดินออก ก็ดูมัน
ในอดีต...ตัวดิฉันเอง
สมัยเรียน
ก็มุ่งเน้นทำคะแนนสอบ
แข่งกันกับเพื่อนๆ เรื่องการเรียน
ย่างเข้าวัยรุ่น วัยทีน
ตัวเองเรียนไม่จบ มาไถลออกนอกลู่
ผันตัวเองไปทำงาน
ด้วยความตื่นเต้น ดีใจ
เรื่องเรียน เลยตัดทิ้ง
เหมือนกับเป็นเรื่องปกติ
หรือช่วงนั้น คิดแต่ว่า
เงินทอง มาก่อนเสมอหรือ?
เมื่อเข้าทำงาน
เป้าหมายต่อไป คือ
ทำงานนั้น ให้บรรลุผล
ทำให้ได้ ทำให้ผ่าน
แต่เรา ไม่มีประสบการณ์
เลยต้องหาประสบการณ์
จากตัวงาน ไปเรี่อยๆ
ก่อนทีเราจะมองไปที่ตัวงาน
ก็มีตัวแทรก หรือจุดประสงค์เทียมเสียบ
นั่นคือ การเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
เมื่อจุดประสงค์เทียม ข้อสอง
มันเข้ามาแทนที่จุดประสงค์หลัก
เบียดจุดประสงค์เทียมตัวแรกตกราง
ทำให้ลืมเป้าหมายแท้จริง ได้ง่ายๆ
ผ่านระยะเวลาการทำงานมาในระดับหนึ่ง
จุดประสงค์เทียมสองตัวนั้น
เริ่มหมดอายุ ทิ้งมันไปเฉย
มันหมดความสนใจ ไม่มีความหมาย
สำหรับเรา ณ ตอนนั้น อีกต่อไป
เมื่อวัยหนุ่มวัยสาว
รู้สึกอันตราย เจอผู้คนมากมาย
เสแสร้งจริงใจ เราไม่เคยรู้
แต่มีให้เห็นมาก ในสายงานเรา
ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันตัวนี้
รับศึกหนักได้บ้าง
บางครั้ง ต้องทำตัวเสแสร้งกลับไป
เพื่อที่จะยังคงร่วมงานกันได้
การวางภาพชัดๆ
มีให้เห็นบ่อยๆ
ปล.
แต่แท้จริง คนดีจริงใจๆ ก็มีเยอะ
คนพวกนั้น ก็แยะตาม ธรรมดา
ผู้ร่วมงานที่ดี
ยังคงเก็บ และสานความต่อเนื่อง
ในความสัมพันธ์นั้้น
จนมาถึงทุกวันนี้
ที่เห็นๆกัน
ได้แต่ขอบคุณ
ที่ไม่เคยทิ้งกัน
หลังจากตรงจุดนี้
เป้าหมายต่อไปที่เราให้น้ำหนัก
คือ
ต้องการคนมาปกป้อง
ดูแล และหวังว่า เขาคนนั้น
เขาจะคุ้มครองเราได้
มีความรู้สึกปลอดภัย
เป็นเกราะกำบัง
ให้เราได้ดี
จากโลกของงาน
ที่ดูเหมือน
ต้องอาศัยภูมิที่แข็งแกร่ง
โดยเรา มีไม่สูงพอ
เวลาผ่านไป
วันผ่าน เดือนลับ
ปีแล้วปีเล่า
เหตุการณ์ใดๆ ก็แล้วแต่
เมื่อเราไม่เคยเจอ
ไม่เคยสัมผัส
เราก็แกว่งได้ง่าย
หลงทางไปได้ไกล
เกินกว่าที่เราคาดไว้
นั่นมันเป็นจุดเริ่ม
ของปัญหา ที่เราคอยแต่จะหนี
และ........
ตัวเราเองนั่นแหละ ที่เสียภูมิคุ้มกัน
ตัวเราเองนั่นแหละ
ที่ต้องเรียนรู้ ควรสู้กับมัน
เพียงแต่เราไม่สามารถทราบได้
ว่าลิมิต ของการรุกและรับ
ในความอดทนที่เรามี และการฝึกจิตบังคับตน
มีได้มากแค่ไหน ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน
ปัญหาครอบครัว
ที่ทุกคนต้องเรียนรู้
หนีกันไม่ได้
แต่จะผ่านได้ หรือผ่านไม่ได้
ขั้นอยู่ที่พื้นฐาน การฝึกจิตใจ
หาความเข้มแข็ง
และความอดทน
ของแต่ละคน
ให้เจอ
หลายๆปีเข้า
เหมือนราวกับว่า
เราไปมองแต่ตัวปัญหา
เน้นๆ เนื้อๆ ไปเต็มๆ
สัญชาติญาณ ของมนุษย์
เกือบทุกคน ก็ว่าได้
เมื่อเราได้สิ่งใด
มักจะมองหาสิ่งที่ไม่มีนั้น
อยู่เสมอ
ต่อมา
ทำเรากลับหัวคว่ำ เป้าหมายหันหาง
หมุนวน เข้าทิศทางเดิม
ความรู้สึก อยากกลับมาทำสิ่งที่ตั้งใจแรกๆ
มันมายืนเคาะประตูใจ
เราต้องทำมัน
ให้สำเร็จลุล่วง
คือ
เรื่องเรียน
ไม่มีใครแก่เกินเรียน
ลงเรียน เอาใบปริญญา
ให้พ่อกับแม่เป็นของขวัญ
รับปริญญาตรีใบแรก
ตอนอายุย่างเข้า 30...
เมื่อผ่านไปขั้น
ก็อยากก้าวอีกขั้น ทำมันให้จบ
ในเป้าหมายต่อมา
คือ
หน้าที่การงาน
กับงานที่เรารู้สึกว่า เรายังทำมัน ไปไม่ถึงไหน
เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน
การนำเป้าหมายเทียม
หลายๆตัวมาแทรก
ทำให้เรา ขาดการพัฒนา
ส่งผลให้ศักยภาพการทำงานลดลง
ได้จริงๆ
หลังจากที่ประสบความสำเร็จ
โดยอาศัยยอดงานเก่าๆในอดีต
มาเสนองาน นำตัวเอง
กลับมาทำงานที่เรารักอีกครั้ง
ความโหยหา
อยากได้มันคืน
มันแรงกล้ามาก
ดุดัน มุ่งหัวชนฝา
โดยทำให้เรา
ลืมสถานะตัวเองไป
การคิดเกินสถานะภาพตัวเอง
การตั้งเป้าหมาย โดยไม่หันซ้ายมองขวา
การอยากทำในสิ่งที่เรารักเกินหน้าเกินตา
เป็นช่วงเริ่มของปัญหา ต่างๆ
ที่ตามมา แทบทุกวัน
การหันมาย้อนคิด
ตั้งพีรามิดกลับด้านบ้าง
อย่าไปเสียดายมุม
ว่ากลัวจะไม่สวย
เราต้องลองหามุมใหม่ๆ
ในเมื่อมุมเดิมๆ
ปัญหา ก็ยังไม่พ้นตัว
วนอยู่นั่น
เช่น
หนึ่ง....เราไม่ได้เป็นคนโสด
สอง....เราเป็นคนมีครอบครัวแล้ว
สาม....เรายังมีลูกๆอีก
ยังไงก็ตาม
จะกลับไปเป็น Working woman
ในแบบที่เราฝัน
ชีวิตมีแต่หน้าที่การงาน
งาน งาน งาน
งานเยอะ งานแน่น
รู้สึกว่าดี....
มันคงไม่ใช่ซะแล้ว
เรื่องการจัดลำดับเวลา
และขาดการวางแผน
จัดความสำคัญของชีวิตไม่เป็น
..........................................
ตัวปัญหา ที่เราไม่ต้องการ
ปัญหา ที่ทำอะไรไม่ถูก
ไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลังดี
มักจะมาเยือนเรา ได้บ่อยๆ
เหมือนเป็นโรคประจำตัว
ที่เราต้องจัดการมัน
ห้าปีกว่าๆ มานี้...
ชีวิตเกิดการผกผัน ทำให้เรา
ย้ายประเทศ ย้ายถิ่นอาศัย
มาอยู่ที่ฝรั่งเศส
ถึงกระนั้น
ความกลัวที่เราจะเป็นบุคคล
ไร้ประโยชน์ ไร้คุณค่าของงาน
โรคประจำตัว มันก็ยังติดจับ
คิดเอาแต่เรื่อง กับการหางาน
กลัวมาอยู่ที่นี่ แล้วไม่มีงานทำ
ประมาณนั้น
งานประชุม ชุมนุม
อาสาสมัคร
งานเพื่อน งานสังคม
ออกงานกันให้ควัก
ในช่วงปีสองปีแรก
หาเรื่องเรียน
หากิจกรรมใส่ตัว
เป็นคนแอคทีฟไปไหน
ถามใจตัวเอง ....
ทำให้เรารู้สึกไปว่า ถ้าขาดสิ่งนี้
เราจะกลายเป็นคนโง่
คนไม่มีค่า คนว่างเปล่า
เลยเกิดความกลัว
หลายครั้ง กับชีวิตที่นี่
ทำให้เราสับสน
จับเวลาได้ ไม่ลงตัวสักที
และแล้ว....
การเรียนรู้ทีละน้อย ๆ
การจัดการปัญหาต่างๆ
โดยปราศจากพ่อแม่
คนในครอบครัว และเพื่อนๆ
มาเกี่ยวข้อง
การได้หยุดพักบ้าง
ทำให้เรา มีเวลามองตัวเอง
เริ่มมีการวางแผน
จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
ให้อยู่หมัด มันจะทำให้คุณ
จับตัวปัญหาได้คาหนังคาเขา
เลยทีเดียว
อะไรๆ ที่ไม่เคยลงตัว
ก็ดูสบายๆ
ไม่อึดอัด ไม่มีแรงกดดัน
สิ่งแรกในเรา
ที่เห็นการเปลี่ยนแปลง
คือ ความภูมิใจ
บอกลาโรคประจำตัวนั้นซะ
จงขอบคุณในสิ่งที่เราขอพร
สร้างสรรค์ และดูแลในสิ่งที่เรามี
มองให้เห็น วางให้เป็น
กับ
จุดประสงค์ ชีวิตหลักๆ ของเรา
ว่ามันอยู่ถึงขั้นไหนแล้ว
เราต้องอย่าเขว
จับมันให้มั่น
และมุ่งเน้นให้มากกว่าเดิม
แคะปมปัญหาตัวเอง
เอามาตีความ
ต้องขอบคุณเวลา
ในการที่เราไม่ทำอะไรเลย
เป็นเวลาแห่งการทบทวนตัวเอง
ที่ดีที่สุด ...
การอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น
ครอบครัวที่ดี คนรักมีความซื่อสัตย์
จริงใจ ให้เกียรติ และพากันพัฒนา
ในทางที่ดีขึ้น ในทุกๆด้าน
เป็นสิ่งที่เราปรารถนา
ทุกวันนี้
ดิฉันมุ่งเน้น มาที่ การเป็นภรรยาที่ดี
เป็นแม่ที่ดี ที่เหมือนเคยเสียโอกาสไป
ตัวเราเอง ต้องปรับปรุงตัวเอง
งานไว้รอง
เรียนคอยเสริม
เพื่อนบางเวลา
เจอบ้างไม่เจอบ้าง
แต่เดือดร้อน
ไม่เคยทิ้งกัน
ความสุขมากมาย มันเกิดขึ้น
สุขยิ่งกว่าของที่ทับถม หรือสิ่งนอกกาย
แต่สุข สุขที่ใจ
สุขในสถานะคนปกติ
ใช้ชิวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป
เป็นอะไรที่ มันคุ้มค่า มากค่า
ตื่นเช้ามา ดูแลลูก
สายหน่อย มีเวลาให้ตัวเอง
เดินชมนก ชมไม้
เรียนบ้าง หาความรู้เพิ่ม ในสิ่งเราสนใจ
ออกกำลังกายบ้าง ดูหนังบ้าง
จากเป็นคน
ที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก
กับสิ่งเหล่านี้
ปัจจุบัน
กลายเป็นคนมีเวลา
เหลือเฟือได้ไม่เลว
หน้าที่ภรรยา ก็ต้องพัฒนา
งานบ้าน งานเรือน
เป็นสิ่งที่ธรรมดาๆ ของภรรยาที่ดี
ที่เขาทำกัน
ไม่เหนื่อย ไม่แปลก
ถ้าเราทำด้วยความรัก
ใจเราสู้ ก็ไม่รู้สึกเหนื่อย
เป็นไปอย่างนั้น ได้เอง
เมื่อเราไม่แยแสกับเป้าหมายเทียมๆ
ที่คอยมาสอดแทรกในหัว
ทำตัวเราเอง สร้างตัวเอง จากภายใน
ให้เข้มแข็งขั้น จับแน่นๆ ให้ชัดเจน
เราก็จะกลายเป็นคนที่มีค่า
มีความสุข กับเวลาที่ผ่านไป
ในแต่ละวัน
เวลาส่วนตัว ก็มี
เวลาสำหรับลูก ก็มี
เวลาสำหรับสามี ก็มี
เวลาสำหรับครอบครัว ก็มี
เวลาสำหรับเพื่อนๆ ก็มี
เรียนด้วย ทำงานบ้านด้วย
เล่นสื่อออนไลน์ไปด้วย
แม้ครอบครัว ญาติๆ
ก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีดีๆ
ส่วนเวลางาน ที่เอาจริงๆจังๆ
หรือเรื่องเรียนที่ฝันอยากจะเรียน
มันต้องมีแน่นอน แต่ยังไม่ถูกจังหวะ
และยังไม่ถึงคราวของมัน
แค่นั้น ..
การมีความพร้อม
ความสะดวก
ไม่ว่าโอกาสนั้น
จะวิ่งมาหาเรา
ในด้านใดๆก็ตาม
เราจะต้องไม่สูญเสีย
สิ่งสำคัญหลักๆ
เป็นสิ่งที่เราควรใส่ใจ
จับต้นชนปลายให้เป็น
มีความหนักแน่น
บริหารจัดการเรื่องเวลาให้ถูก
เราจะมีความสุขขึ้นมาก
ทุกข์น้อยลง
ทุกวันนี้ ไม่เคยทุกข์ใจ
กับคำว่า ไม่มีเวลา...
โดยเฉพาะ...
การมีเวลา ในสิ่งที่เรารัก ...นั้นเอง
พัฒนาเวลา ต้องใช้วินัย
พัฒนาใจ ต้องใช้ความอดทน
พัฒนาตน ต้องใช้ความมุ่งมั่น
พัฒนาความขยัน ต้องใช้ใจ....
ใส่รัก ...รักในสิ่งที่ทำ
รักในสิ่งที่มี รักในสิ่งที่มองเห็น
จะทำให้เวลา มีความหมาย
มีค่า สัมผัสได้
เก็บเป็นความทรงจำ
ที่ดี ตลอดไป...
ขอบคุณพระเจ้า
ในทุกๆกรณี
พระเจ้าอวยพร
เพื่อนๆผู้อ่าน
ทุกๆคน
อาเมนค่ะ
พัฒนาตน
พัฒนาความสุข
เวลานั้น จับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตน
แต่ตัวตนของเรา เป็นคนสร้างเวลา
และทำให้เวลา เกิดเป็นรูปธรรม
อีกนัยหนึ่ง คือ
อย่าคอยให้ " เวลา " มาวิ่งหาเรา
แต่เราต่างหาก
ที่จับตัวเอง เข้าไปหา " เวลา "
เรื่องการจัดสรรเวลา
ดูเหมือนจะยาก แต่แท้จริงแล้ว
มันยากตรงที่เราจับจุดประสงค์
และวางแผนการเดินสู่เป้าหมายไม่เป็น
หรือเปล่า...
ส่วนตัวแล้ว โดยรวมก่อนๆ
ให้จัดการ ตารางชีวิต ไม่ค่อยเป็น
สับสน มีเขวไขว วุ่นวาย
ตัดสินใจไม่ถูก
รู้สึกวันหนึ่งๆ
หายไปอย่างน่าตกใจ
ครั้งเมื่ออยู่ประเทศไทย
เรื่องจับงานนั้น มาบวกงานนี้
วิ่งงานซ้อนงาน วิ่งไปวิ่งมา กันให้พลั่ก
ชนกัน ตีกันซะฟุ้ง...
แค่นั้นยังไม่พอ
พอไปมุ่งมั่น แต่เรื่องงานมากเกินไป
ด้วยสถานะภาพ ที่มีครอบครัวแล้ว
เรากลับสูญเสีย เวลาแห่งความรัก
เวลาสำหรับลูกๆ เพื่อนๆ
ไปโดย ไม่รู้ตัว
บ่อยครั้งที่กลับเข้าบ้าน
เหนื่อยล้าจากงานไม่เท่าไหร่
รถติด ผลพวงพ่วงความล้าไปได้อีก
มีลูกสาว ลูกชาย มีเวลาให้เขานิดเดียว
แม่บ้านพี่เลี้ยง รับช่วงไปได้มากกว่าแม่ซะอีก
ด้วยค่านิยม ความกดดัน ของสังคม
เรื่องของการทำมาหากิน
หาเงินเข้าบ้าน
ไม่ว่าหญิงหรือชาย
มุ่งเน้นกันจนเคยชิน
คิดไปว่า เป็นเรื่องธรรมดาซะแล้ว
จนลืมนึกถึง คนข้างๆ คนในครอบครัว
การที่เรา หันมาตั้งเป้าหมาย
ให้ตรงกับสถานะของเรา
หรือของแต่ละคน และให้
ตรงกับใจเรามากที่สุดนั้น
เป็นเรื่องที่เราๆ
ควรพัฒนา ทำกัน
สร้างมันให้เกิดขึ้น
จุดประสงค์ เป้าหลัก คืออะไร
สิ่งไหน ที่คุณอยากได้อยากมี
มากที่สุด
วาง สร้าง ปรับ พฤติกรรม
วางแผน ให้เป็นช่วงระยะเวลา
หาเสาจับให้เจอ
เริ่มง่ายๆ จากการกำหนดวัน
กำหนดสัปดาห์
จนถึงหนึ่งปี สองปี และหลายๆปี
เอามาตั้งตรงหน้าคุณ
เขียนแปะผนังไว้ก็ได้
เดินเข้าเดินออก ก็ดูมัน
ในอดีต...ตัวดิฉันเอง
สมัยเรียน
ก็มุ่งเน้นทำคะแนนสอบ
แข่งกันกับเพื่อนๆ เรื่องการเรียน
ย่างเข้าวัยรุ่น วัยทีน
ตัวเองเรียนไม่จบ มาไถลออกนอกลู่
ผันตัวเองไปทำงาน
ด้วยความตื่นเต้น ดีใจ
เรื่องเรียน เลยตัดทิ้ง
เหมือนกับเป็นเรื่องปกติ
หรือช่วงนั้น คิดแต่ว่า
เงินทอง มาก่อนเสมอหรือ?
เมื่อเข้าทำงาน
เป้าหมายต่อไป คือ
ทำงานนั้น ให้บรรลุผล
ทำให้ได้ ทำให้ผ่าน
แต่เรา ไม่มีประสบการณ์
เลยต้องหาประสบการณ์
จากตัวงาน ไปเรี่อยๆ
ก่อนทีเราจะมองไปที่ตัวงาน
ก็มีตัวแทรก หรือจุดประสงค์เทียมเสียบ
นั่นคือ การเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
เมื่อจุดประสงค์เทียม ข้อสอง
มันเข้ามาแทนที่จุดประสงค์หลัก
เบียดจุดประสงค์เทียมตัวแรกตกราง
ทำให้ลืมเป้าหมายแท้จริง ได้ง่ายๆ
ผ่านระยะเวลาการทำงานมาในระดับหนึ่ง
จุดประสงค์เทียมสองตัวนั้น
เริ่มหมดอายุ ทิ้งมันไปเฉย
มันหมดความสนใจ ไม่มีความหมาย
สำหรับเรา ณ ตอนนั้น อีกต่อไป
เมื่อวัยหนุ่มวัยสาว
รู้สึกอันตราย เจอผู้คนมากมาย
เสแสร้งจริงใจ เราไม่เคยรู้
แต่มีให้เห็นมาก ในสายงานเรา
ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันตัวนี้
รับศึกหนักได้บ้าง
บางครั้ง ต้องทำตัวเสแสร้งกลับไป
เพื่อที่จะยังคงร่วมงานกันได้
การวางภาพชัดๆ
มีให้เห็นบ่อยๆ
ปล.
แต่แท้จริง คนดีจริงใจๆ ก็มีเยอะ
คนพวกนั้น ก็แยะตาม ธรรมดา
ผู้ร่วมงานที่ดี
ยังคงเก็บ และสานความต่อเนื่อง
ในความสัมพันธ์นั้้น
จนมาถึงทุกวันนี้
ที่เห็นๆกัน
ได้แต่ขอบคุณ
ที่ไม่เคยทิ้งกัน
หลังจากตรงจุดนี้
เป้าหมายต่อไปที่เราให้น้ำหนัก
คือ
ต้องการคนมาปกป้อง
ดูแล และหวังว่า เขาคนนั้น
เขาจะคุ้มครองเราได้
มีความรู้สึกปลอดภัย
เป็นเกราะกำบัง
ให้เราได้ดี
จากโลกของงาน
ที่ดูเหมือน
ต้องอาศัยภูมิที่แข็งแกร่ง
โดยเรา มีไม่สูงพอ
เวลาผ่านไป
วันผ่าน เดือนลับ
ปีแล้วปีเล่า
เหตุการณ์ใดๆ ก็แล้วแต่
เมื่อเราไม่เคยเจอ
ไม่เคยสัมผัส
เราก็แกว่งได้ง่าย
หลงทางไปได้ไกล
เกินกว่าที่เราคาดไว้
นั่นมันเป็นจุดเริ่ม
ของปัญหา ที่เราคอยแต่จะหนี
และ........
ตัวเราเองนั่นแหละ ที่เสียภูมิคุ้มกัน
ตัวเราเองนั่นแหละ
ที่ต้องเรียนรู้ ควรสู้กับมัน
เพียงแต่เราไม่สามารถทราบได้
ว่าลิมิต ของการรุกและรับ
ในความอดทนที่เรามี และการฝึกจิตบังคับตน
มีได้มากแค่ไหน ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน
ปัญหาครอบครัว
ที่ทุกคนต้องเรียนรู้
หนีกันไม่ได้
แต่จะผ่านได้ หรือผ่านไม่ได้
ขั้นอยู่ที่พื้นฐาน การฝึกจิตใจ
หาความเข้มแข็ง
และความอดทน
ของแต่ละคน
ให้เจอ
หลายๆปีเข้า
เหมือนราวกับว่า
เราไปมองแต่ตัวปัญหา
เน้นๆ เนื้อๆ ไปเต็มๆ
สัญชาติญาณ ของมนุษย์
เกือบทุกคน ก็ว่าได้
เมื่อเราได้สิ่งใด
มักจะมองหาสิ่งที่ไม่มีนั้น
อยู่เสมอ
ต่อมา
ทำเรากลับหัวคว่ำ เป้าหมายหันหาง
หมุนวน เข้าทิศทางเดิม
ความรู้สึก อยากกลับมาทำสิ่งที่ตั้งใจแรกๆ
มันมายืนเคาะประตูใจ
เราต้องทำมัน
ให้สำเร็จลุล่วง
คือ
เรื่องเรียน
ไม่มีใครแก่เกินเรียน
ลงเรียน เอาใบปริญญา
ให้พ่อกับแม่เป็นของขวัญ
รับปริญญาตรีใบแรก
ตอนอายุย่างเข้า 30...
เมื่อผ่านไปขั้น
ก็อยากก้าวอีกขั้น ทำมันให้จบ
ในเป้าหมายต่อมา
คือ
หน้าที่การงาน
กับงานที่เรารู้สึกว่า เรายังทำมัน ไปไม่ถึงไหน
เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน
การนำเป้าหมายเทียม
หลายๆตัวมาแทรก
ทำให้เรา ขาดการพัฒนา
ส่งผลให้ศักยภาพการทำงานลดลง
ได้จริงๆ
หลังจากที่ประสบความสำเร็จ
โดยอาศัยยอดงานเก่าๆในอดีต
มาเสนองาน นำตัวเอง
กลับมาทำงานที่เรารักอีกครั้ง
ความโหยหา
อยากได้มันคืน
มันแรงกล้ามาก
ดุดัน มุ่งหัวชนฝา
โดยทำให้เรา
ลืมสถานะตัวเองไป
การคิดเกินสถานะภาพตัวเอง
การตั้งเป้าหมาย โดยไม่หันซ้ายมองขวา
การอยากทำในสิ่งที่เรารักเกินหน้าเกินตา
เป็นช่วงเริ่มของปัญหา ต่างๆ
ที่ตามมา แทบทุกวัน
การหันมาย้อนคิด
ตั้งพีรามิดกลับด้านบ้าง
อย่าไปเสียดายมุม
ว่ากลัวจะไม่สวย
เราต้องลองหามุมใหม่ๆ
ในเมื่อมุมเดิมๆ
ปัญหา ก็ยังไม่พ้นตัว
วนอยู่นั่น
เช่น
หนึ่ง....เราไม่ได้เป็นคนโสด
สอง....เราเป็นคนมีครอบครัวแล้ว
สาม....เรายังมีลูกๆอีก
ยังไงก็ตาม
จะกลับไปเป็น Working woman
ในแบบที่เราฝัน
ชีวิตมีแต่หน้าที่การงาน
งาน งาน งาน
งานเยอะ งานแน่น
รู้สึกว่าดี....
มันคงไม่ใช่ซะแล้ว
เรื่องการจัดลำดับเวลา
และขาดการวางแผน
จัดความสำคัญของชีวิตไม่เป็น
..........................................
ตัวปัญหา ที่เราไม่ต้องการ
ปัญหา ที่ทำอะไรไม่ถูก
ไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลังดี
มักจะมาเยือนเรา ได้บ่อยๆ
เหมือนเป็นโรคประจำตัว
ที่เราต้องจัดการมัน
ห้าปีกว่าๆ มานี้...
ชีวิตเกิดการผกผัน ทำให้เรา
ย้ายประเทศ ย้ายถิ่นอาศัย
มาอยู่ที่ฝรั่งเศส
ถึงกระนั้น
ความกลัวที่เราจะเป็นบุคคล
ไร้ประโยชน์ ไร้คุณค่าของงาน
โรคประจำตัว มันก็ยังติดจับ
คิดเอาแต่เรื่อง กับการหางาน
กลัวมาอยู่ที่นี่ แล้วไม่มีงานทำ
ประมาณนั้น
งานประชุม ชุมนุม
อาสาสมัคร
งานเพื่อน งานสังคม
ออกงานกันให้ควัก
ในช่วงปีสองปีแรก
หาเรื่องเรียน
หากิจกรรมใส่ตัว
เป็นคนแอคทีฟไปไหน
ถามใจตัวเอง ....
ทำให้เรารู้สึกไปว่า ถ้าขาดสิ่งนี้
เราจะกลายเป็นคนโง่
คนไม่มีค่า คนว่างเปล่า
เลยเกิดความกลัว
หลายครั้ง กับชีวิตที่นี่
ทำให้เราสับสน
จับเวลาได้ ไม่ลงตัวสักที
และแล้ว....
การเรียนรู้ทีละน้อย ๆ
การจัดการปัญหาต่างๆ
โดยปราศจากพ่อแม่
คนในครอบครัว และเพื่อนๆ
มาเกี่ยวข้อง
การได้หยุดพักบ้าง
ทำให้เรา มีเวลามองตัวเอง
เริ่มมีการวางแผน
จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
ให้อยู่หมัด มันจะทำให้คุณ
จับตัวปัญหาได้คาหนังคาเขา
เลยทีเดียว
อะไรๆ ที่ไม่เคยลงตัว
ก็ดูสบายๆ
ไม่อึดอัด ไม่มีแรงกดดัน
สิ่งแรกในเรา
ที่เห็นการเปลี่ยนแปลง
คือ ความภูมิใจ
บอกลาโรคประจำตัวนั้นซะ
จงขอบคุณในสิ่งที่เราขอพร
สร้างสรรค์ และดูแลในสิ่งที่เรามี
มองให้เห็น วางให้เป็น
กับ
จุดประสงค์ ชีวิตหลักๆ ของเรา
ว่ามันอยู่ถึงขั้นไหนแล้ว
เราต้องอย่าเขว
จับมันให้มั่น
และมุ่งเน้นให้มากกว่าเดิม
แคะปมปัญหาตัวเอง
เอามาตีความ
ต้องขอบคุณเวลา
ในการที่เราไม่ทำอะไรเลย
เป็นเวลาแห่งการทบทวนตัวเอง
ที่ดีที่สุด ...
การอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น
ครอบครัวที่ดี คนรักมีความซื่อสัตย์
จริงใจ ให้เกียรติ และพากันพัฒนา
ในทางที่ดีขึ้น ในทุกๆด้าน
เป็นสิ่งที่เราปรารถนา
ทุกวันนี้
ดิฉันมุ่งเน้น มาที่ การเป็นภรรยาที่ดี
เป็นแม่ที่ดี ที่เหมือนเคยเสียโอกาสไป
ตัวเราเอง ต้องปรับปรุงตัวเอง
งานไว้รอง
เรียนคอยเสริม
เพื่อนบางเวลา
เจอบ้างไม่เจอบ้าง
แต่เดือดร้อน
ไม่เคยทิ้งกัน
ความสุขมากมาย มันเกิดขึ้น
สุขยิ่งกว่าของที่ทับถม หรือสิ่งนอกกาย
แต่สุข สุขที่ใจ
สุขในสถานะคนปกติ
ใช้ชิวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป
เป็นอะไรที่ มันคุ้มค่า มากค่า
ตื่นเช้ามา ดูแลลูก
สายหน่อย มีเวลาให้ตัวเอง
เดินชมนก ชมไม้
เรียนบ้าง หาความรู้เพิ่ม ในสิ่งเราสนใจ
ออกกำลังกายบ้าง ดูหนังบ้าง
จากเป็นคน
ที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก
กับสิ่งเหล่านี้
ปัจจุบัน
กลายเป็นคนมีเวลา
เหลือเฟือได้ไม่เลว
หน้าที่ภรรยา ก็ต้องพัฒนา
งานบ้าน งานเรือน
เป็นสิ่งที่ธรรมดาๆ ของภรรยาที่ดี
ที่เขาทำกัน
ไม่เหนื่อย ไม่แปลก
ถ้าเราทำด้วยความรัก
ใจเราสู้ ก็ไม่รู้สึกเหนื่อย
เป็นไปอย่างนั้น ได้เอง
เมื่อเราไม่แยแสกับเป้าหมายเทียมๆ
ที่คอยมาสอดแทรกในหัว
ทำตัวเราเอง สร้างตัวเอง จากภายใน
ให้เข้มแข็งขั้น จับแน่นๆ ให้ชัดเจน
เราก็จะกลายเป็นคนที่มีค่า
มีความสุข กับเวลาที่ผ่านไป
ในแต่ละวัน
เวลาส่วนตัว ก็มี
เวลาสำหรับลูก ก็มี
เวลาสำหรับสามี ก็มี
เวลาสำหรับครอบครัว ก็มี
เวลาสำหรับเพื่อนๆ ก็มี
เรียนด้วย ทำงานบ้านด้วย
เล่นสื่อออนไลน์ไปด้วย
แม้ครอบครัว ญาติๆ
ก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีดีๆ
ส่วนเวลางาน ที่เอาจริงๆจังๆ
หรือเรื่องเรียนที่ฝันอยากจะเรียน
มันต้องมีแน่นอน แต่ยังไม่ถูกจังหวะ
และยังไม่ถึงคราวของมัน
แค่นั้น ..
การมีความพร้อม
ความสะดวก
ไม่ว่าโอกาสนั้น
จะวิ่งมาหาเรา
ในด้านใดๆก็ตาม
เราจะต้องไม่สูญเสีย
สิ่งสำคัญหลักๆ
เป็นสิ่งที่เราควรใส่ใจ
จับต้นชนปลายให้เป็น
มีความหนักแน่น
บริหารจัดการเรื่องเวลาให้ถูก
เราจะมีความสุขขึ้นมาก
ทุกข์น้อยลง
ทุกวันนี้ ไม่เคยทุกข์ใจ
กับคำว่า ไม่มีเวลา...
โดยเฉพาะ...
การมีเวลา ในสิ่งที่เรารัก ...นั้นเอง
พัฒนาเวลา ต้องใช้วินัย
พัฒนาใจ ต้องใช้ความอดทน
พัฒนาตน ต้องใช้ความมุ่งมั่น
พัฒนาความขยัน ต้องใช้ใจ....
ใส่รัก ...รักในสิ่งที่ทำ
รักในสิ่งที่มี รักในสิ่งที่มองเห็น
จะทำให้เวลา มีความหมาย
มีค่า สัมผัสได้
เก็บเป็นความทรงจำ
ที่ดี ตลอดไป...
ขอบคุณพระเจ้า
ในทุกๆกรณี
พระเจ้าอวยพร
เพื่อนๆผู้อ่าน
ทุกๆคน
อาเมนค่ะ

ความคิดเห็น