วันนั้นถึงวันนี้ กับคำว่า "ดารา" ตอนที่ 1
กว่าจะถึงวันนั้น ผ่านมา จนถึงวันนี้ กับชีวิตที่คนทั่วๆไป เรียกกันว่า "ดารา"
ตอนที่ 1
หลายคนเคยคิดสงสัย อยากจะรู้จัง... ว่าผู้หญิงคนนี้ ผ่านอะไรมาบ้าง
ง่ายยากแค่ไหน ในฐานะคนในวงการบันเทิง อยากให้คนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งก้าวเข้ามาสู่สังคมมายา
นำไปคิดและเข้าใจกับวิถีการปฏิบัติตนได้กระจ่างขึ้นรวมถึงการวางตัวที่ดี
และเห็นคุณค่าของอาชีพได้มากกว่าคำว่า "เงินค่าจ้าง"
และคำที่เรียกตัวคุณเองว่า "ฉันเป็นดารา"
สมัยที่ดิฉันเรียนชั้นประถมฯปีที่ 4 จำได้ว่าเพื่อนๆ เริ่มมีแฟนกันล่ะ
ส่วนดิฉันไม่เห็นมีใครสน ส่วนใหญ่เด็กวัยนี้ เริ่มมีพัฒนาการด้านรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป
อยู่หลายสเต็ป ในช่วงเวลาอันสั้น ใครอ้วนท้วนสมบูรณ์หน่อย ประจำเดือนก็มาเยือนให้ตื่นเต้น
และน่ากลัวกันไป ดิฉันสิ ทำไมอะไรๆ.. มันก็ยังไม่เห็นจะเปลี่ยนแปลงตรงไหนซักเท่าไหร่
มีแต่สูงอย่างเดียว ยิ่งสูงก็ยิ่งดูผอม แห้งก็แห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ฉายาก็ตั้งกันไปสิ "ไม้เสียบลูกชิ้นเอย ", "ไม่เสียบผีเอย " ตอนนั้นก็น้อยใจนะ
แต่มองย้อนไป ณ ตอนนี้ ขำดี
พอขึ้นปอ.5 แม้ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่ฮอร์โมนความอยากสวยอยากงาม มันเริ่มผลักดันออกมา
เวลาที่โรงเรียนมีกิจกรรมกีฬาสีร่วมกับโรงเรียนในเครือ ไปเลย
ไปสมัครเป็นเชียร์ลีดเดอร์ประจำสีก่อน ไม่ผ่าน ตกไป ไม่ยอมแพ้
ไปสมัครเป็นดรัมเมเยอร์ของสี ก็ไม่ เฮ้อ งั้นเอาสนุกๆแล้วกัน
ไปสมัครดรัมเมเยอร์ของโรงเรียนเลย เผื่อได้
อ๊ะ...ได้จริงๆด้วย ตามด้วยเสียงร่ำลือกันยกใหญ่
ได้? ได้ยังไง ไม่เห็นสวย เพราะมองกันว่าผอมเกินซะงั้น
คิดอย่างเดียวเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ณ
ตอนนั้น คือ "เราคงมีอะไรดีบ้างหล่ะ คุณครูถึงเลือก "
ลืมไปว่าก่อนวันคัดเลือก คุณครูจะมีการสอน
แนะวิธีการ การถือไม้คฑาอย่างสวยงามและถูกต้อง
เราก็จำและไปฝึกที่บ้าน เอาด้ามไม้กวาดนี่แหละ
ซ้อมจนปวดกล้ามเนื้อแขนเลย สุดท้ายการฝึกซ้อมทบทวนที่คุณครูได้สอนก็ได้ผล
ความภูมิใจในตอนนั้นมันสามารถนำมาบดบังความไม่มั่นใจในตัวเองออกไปได้
จากนั้นมา กีฬาสีของโรงเรียนในทุกๆปี จะมีส่วนร่วมเสมอๆ
มาจนกระทั่งระดับมัธยมศึกษา,อุดมศึกษา ความโดดเด่นของตัวดิฉัน
ที่คนรอบข้างเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ความสวย แต่ก็ไม่ใช่แค่ความสูง
ร้อยเปอร์เซนต์ซะทีเดียว เมื่อมีความกล้าแสดงออกในสิ่งใดเป็นจุดเริ่มต้น
ก็จะเหมารวม ชมตัวเองอยู่มาก กล้าเล่นกล้าแสดงออกเกินลิมิตอยู่บ่อยครั้ง
กลายเป็นกล้าบ้าบิ่นไปซะแทบทุกเรื่อง จำได้ว่า เรียนวิชาพละ
เล่นกีฬาบาสเก๊ตบอลตอนสมัยเรียนมัธยมปีที่ 2 น่าจะได้ ....
ได้เสื้อประจำตัวผู้เล่น คือเบอร์ 5, โดนคุณครูและเพื่อนๆแซวกันยกใหญ่
ว่า "เบอร์ 5 บ้าเห่อ" จำติดหูมาถึงทุกวันนี้ ต่างพากันหัวเราะลั่น
เล่นแบบว่าไม่มีการอายใดทั้งสิ้น
เป็นเพราะดิฉันสูงด้วยมั้ง ท่าทางจึงออกมาดูเก้งๆก้างๆ ตลกๆ
ตอนมอ.2 เพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้เข้าไปถ่ายรูปโมเดลลิ่ง
เผื่อจะได้เป็นนางแบบ เป็นเพราะนางแบบเขาเอาคนสูง ไม่จำเป็นต้องสวย
เอาสิ ไปๆ แต่ต้องไปขออนุญาติแม่อยู่นาน เพราะแม่กลัวโดนหลอก
ด้วยความอยากเป็นนางแบบ เพราะจะได้ถ่ายรูปสวยๆ
และคิดว่าเราจะคงจะกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงต้องฉุด
เพื่อนๆในกลุ่มที่แม่รู้จักมาสาธยายกันไป สอบสวนกันยกใหญ่
ถึงสถานที่ คนดูแล และเบอร์โทรฯ แม่ดิฉันต้องมีหมด
ท่านผู้อ่านคะ ใช่ว่าการได้เข้าโมเดลลิ่งแล้ว
จะโด่งดัง มีชื่อเสียงกันทันที ดิฉันผ่านการเทสต์งานหน้ากล้องมาเป็นร้อยครั้ง
คิดดูค่ะ ว่าครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
พอมีพอกิน บ้านก็อยู่ปริมณฑล แต่พ่อแม่ต้องเสียค่ารถ
เสียเวลามารับส่งดิฉันที่โรงเรียนอีก
หลังเลิกเรียนแทบทุกวัน แม่ต้องมารับที่โรงเรียน รถก็ติด
เวลาทานข้าวก็ไม่มี จำได้ว่าชอบทาน
ข้าวเหนียวหมูทอดในรถแท็กซี่มากๆ เพราะคนขับรถก็คงหิว
ยิ่งได้กลิ่น คงหงุดหงิด รำคาญอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความจำเป็น
และความที่แม่เป็นห่วงลูก จัดเต็มกันไป เป็นกันอย่างนี้มาตลอด
พักใหญ่ เป็นปีๆก็ว่าได้ แม้ไม่เคยได้ซักงานเดียว
แต่ด้วยความมุทะลุไม่ยอมแพ้ แม้ไปเทสต์หน้ากล้องทีไร
จะไม่ผ่าน ก็ถึอว่าเราได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรง ณ เวลาตรงนั้นไปด้วย
ดิฉันว่ามันช่วยขัดเกลาดิฉันให้เป็นคนที่พูดที่มีหลักการมากขึ้น
มีความมั่นใจจากภายในมากขึ้น
ฝึกการถามและการตอบของผู้กำกับกล้อง,ผู้สัมภาษณ์ไปด้วย
เข้าโมเดลลิ่งตั้งแต่อายุ 14 ปี มีผลงานถ่ายแบบนิตยสารบ้างประปราย
มาถึงอายุ 17 ปี ขอทำอะไรที่อยากจะทำด้วยตัวเองบ้าง
เพราะที่ผ่านมารู้สึกว่าเราต้องก้าวไปให้ได้ไกลกว่านี้ จึงเกิดการ
แหกคอก ขอไม่ได้ผ่านโมเดลลิ่ง เป็นอิสระบ้างในบางครั้ง
เพราะถือว่าดิฉันไปหางานเอง โมฯไม่ได้หาให้ หรือด้วยความใจร้อน
อยากก้าวต่อไปให้ไกลกว่าเดิม จึงไปสมัครการประกวดของมิสฯต่างๆ
แต่โชคดีที่ผ่านเวทีแรก ก็ติดอันดับก่อนจะมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
นั่นคือเวทีการประกวด มิสรีวิว
สมัยนั้นเป็นนิตยสารที่นางแบบดังๆมีส่วนร่วมกันทั้งนั้น
ดิฉันติด 1 ใน สิบค่ะ โห ช่วงเวลานั้นตื่นเต้นมาก
เพราะในกลุ่มผู้เข้าประกวดที่เข้ารอบสิบคน ต้องไปลองชุดราตรีกันคนละ 2 ชุด
ตามร้านเสื้อผ้าของดีไซน์เนอร์ดังๆที่มาเป็นสปอนเซอร์
ในวันตัดสิน ทั้งแมวมอง ผู้จัดการส่วนตัว แตกต่างสไตล์ก็มากันให้พรึบ
บ้างก็ติดต่อจะให้ไปประกวดนางสาวไทยบ้างหล่ะ
สุดท้ายตกรอบ ด้วยการตอบคำถามที่ไม่เจนเวที ประหม่า
ขาดประสบการณ์เมื่อมีผู้คนจ้องมองมากมาย กดดัน ตื่นเต้น ไม่หวังล่ะ
ณ ที่ตรงนั้น ถือเป็นโอกาสที่จะมีเหล่าบุคคลที่เรียกตัวเองว่า
ผู้จัดการส่วนตัว หรือแมวมองมาจับจองคนที่ตกรอบ
เพื่อที่หวังจะปั้น ส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันกันให้สำเร็จกันต่อไป
ดิฉันโชคดีค่ะ มีผู้จัดการส่วนตัวดูแล ณ เวลานั้น
เหมือนมาย้อมความมั่นใจ ล้างความประหม่า
ขัดเกลาให้เกิดความโดดเด่นยิ่งขึ้นมาอีก ทั้งสอนและแนะนำในหลายๆเรื่อง
ให้พร้อมในทุกๆงาน และเติมเต็มในสิ่งด้อย แม้ ณ วันนี้
ยังระลึกถึงพระคุณเสมอ แม้จะไม่เคยได้ติดต่อกันเลยมาร่วม 13 ปี ก็ตาม
ต้องขอบคุณความจริงใจที่มอบให้กับเด็กคนนี้
ให้มีพลังเข้มแข้งที่จะก้าวต่อไปในขณะนั้น
จากนั้นประเภทของงานเทสต์หน้ากล้องก็เปลี่ยนไป
จากงานโฆษณา ถ่ายแบบ ก็มาเป็นงานด้านการแสดง ไม่ว่าจะเป็นละคร
และภาพยนต์ เมื่อประเภทของการเทสต์หน้ากล้องเปลี่ยน การกระทำการ
แสดงออกต่อกล้องก็เปลี่ยน ค่ายละครดังๆ,บริษัทผู้สร้างภาพยนต์ชื่อดัง
แม้ผู้กำกับที่ดิฉันรู้จักแต่ในนามก็มานั่งสัมภาษณ์และให้แสดงต่อหน้า
ยากจัง ทำไมการแสดงมันช่างลึกซึ้งและหาความละเอียดอ่อนได้
มากมายปานนั้น ทำไมนักแสดงหลายๆคนที่ิดิฉันรู้จักเขาทำกันได้ง่ายมากๆ
แล้วที่สุด ก็เกิดการสั่งสมประสบการณ์ใหม่
คือได้เรียนการแสดงไปในขณะเทสต์หน้ากล้อง
ย้อนรอยกลับไปเหมือนตอนเทสต์งานโฆษณาสมัยอยู่โมเดลลิ่ง
ดิฉันคิดอย่างเดียว ดิฉันจะไม่ท้อ เพราะมองกลับไปที่บุคคลที่สนับสนุนเรามาตลอด
แถมเหนื่อยยิ่งกว่าเราอีก ต้องทำงาน และคอยมาดูแล
เรื่องปากท้อง สุขภาพ วินัย นั่นคือแม่ดิฉันเอง ดิฉันจึงคิดสู้ต้อไป
จนกระทั้งมีโอกาสได้เข้ามาที่สถานีโทรทัศน์ช่องมากมายกับสีสัน
กระนั้นก็ตาม เข้ามาทำการเทสต์การแสดงอยู่ 3 ครั้ง
ช่วงเวลาก็ถี่ห่างตามกัน มาได้ก็ครั้งสุดท้ายนี่แหละ
นี่เป็นจุดเริ่มต้นกับการที่คนเรียกกันว่า " ดารา"
ตอนที่ 1 นี้ ดิฉันหวังว่าคงช่วยเตือนใจให้กับน้องๆรุ่นใหม่
ได้เห็นถึง การมีใจรักในการร่วมกิจกรรมโรงเรียนอยู่เสมอๆ
ม้นเป็นโอกาสการฝึกฝนที่ดีมากๆ เมื่อเราผ่านจุดนี้ได้
วันนึงในอนาคตเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มสังคมที่ใหญ่ขึ้น
มันจะทำให้น้องๆทำได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะใครก็ตาม
ที่คิดอยากจะทำงานในวงการบันเทิง
และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าในทุกๆการแสดงออก
ได้อย่างไม่เคอะเขิน
ติดตามตอนที่สองนะคะ
ขณะที่ดิฉันได้ทำงานกับคำว่า " ดารา " อย่างเต็มตัวแล้ว
ดิฉันพบเจอกับอะไรบ้าง มันทำให้ชีวิตดิฉันเปลี่ยนไปอย่างไร
ในทางไหน ผู้คนในวงการบันเทิง พวกเขาเหล่านั้น เขามีวิธีการ
การทำงานกันอย่างไร ช่วงเวลาใดเป็นช่วงที่ดิฉันภูมิใจที่สุด
และท้อแท้ใจมากที่สุดจนไม่อยากจะอยู่ในวงการอีกต่อไป
ณ เวลานั้น
ตอนที่ 1
หลายคนเคยคิดสงสัย อยากจะรู้จัง... ว่าผู้หญิงคนนี้ ผ่านอะไรมาบ้าง
ง่ายยากแค่ไหน ในฐานะคนในวงการบันเทิง อยากให้คนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งก้าวเข้ามาสู่สังคมมายา
นำไปคิดและเข้าใจกับวิถีการปฏิบัติตนได้กระจ่างขึ้นรวมถึงการวางตัวที่ดี
และเห็นคุณค่าของอาชีพได้มากกว่าคำว่า "เงินค่าจ้าง"
และคำที่เรียกตัวคุณเองว่า "ฉันเป็นดารา"
สมัยที่ดิฉันเรียนชั้นประถมฯปีที่ 4 จำได้ว่าเพื่อนๆ เริ่มมีแฟนกันล่ะ
ส่วนดิฉันไม่เห็นมีใครสน ส่วนใหญ่เด็กวัยนี้ เริ่มมีพัฒนาการด้านรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป
อยู่หลายสเต็ป ในช่วงเวลาอันสั้น ใครอ้วนท้วนสมบูรณ์หน่อย ประจำเดือนก็มาเยือนให้ตื่นเต้น
และน่ากลัวกันไป ดิฉันสิ ทำไมอะไรๆ.. มันก็ยังไม่เห็นจะเปลี่ยนแปลงตรงไหนซักเท่าไหร่
มีแต่สูงอย่างเดียว ยิ่งสูงก็ยิ่งดูผอม แห้งก็แห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ฉายาก็ตั้งกันไปสิ "ไม้เสียบลูกชิ้นเอย ", "ไม่เสียบผีเอย " ตอนนั้นก็น้อยใจนะ
แต่มองย้อนไป ณ ตอนนี้ ขำดี
พอขึ้นปอ.5 แม้ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่ฮอร์โมนความอยากสวยอยากงาม มันเริ่มผลักดันออกมา
เวลาที่โรงเรียนมีกิจกรรมกีฬาสีร่วมกับโรงเรียนในเครือ ไปเลย
ไปสมัครเป็นเชียร์ลีดเดอร์ประจำสีก่อน ไม่ผ่าน ตกไป ไม่ยอมแพ้
ไปสมัครเป็นดรัมเมเยอร์ของสี ก็ไม่ เฮ้อ งั้นเอาสนุกๆแล้วกัน
ไปสมัครดรัมเมเยอร์ของโรงเรียนเลย เผื่อได้
อ๊ะ...ได้จริงๆด้วย ตามด้วยเสียงร่ำลือกันยกใหญ่
ได้? ได้ยังไง ไม่เห็นสวย เพราะมองกันว่าผอมเกินซะงั้น
คิดอย่างเดียวเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ณ
ตอนนั้น คือ "เราคงมีอะไรดีบ้างหล่ะ คุณครูถึงเลือก "
ลืมไปว่าก่อนวันคัดเลือก คุณครูจะมีการสอน
แนะวิธีการ การถือไม้คฑาอย่างสวยงามและถูกต้อง
เราก็จำและไปฝึกที่บ้าน เอาด้ามไม้กวาดนี่แหละ
ซ้อมจนปวดกล้ามเนื้อแขนเลย สุดท้ายการฝึกซ้อมทบทวนที่คุณครูได้สอนก็ได้ผล
ความภูมิใจในตอนนั้นมันสามารถนำมาบดบังความไม่มั่นใจในตัวเองออกไปได้
จากนั้นมา กีฬาสีของโรงเรียนในทุกๆปี จะมีส่วนร่วมเสมอๆ
มาจนกระทั่งระดับมัธยมศึกษา,อุดมศึกษา ความโดดเด่นของตัวดิฉัน
ที่คนรอบข้างเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ความสวย แต่ก็ไม่ใช่แค่ความสูง
ร้อยเปอร์เซนต์ซะทีเดียว เมื่อมีความกล้าแสดงออกในสิ่งใดเป็นจุดเริ่มต้น
ก็จะเหมารวม ชมตัวเองอยู่มาก กล้าเล่นกล้าแสดงออกเกินลิมิตอยู่บ่อยครั้ง
กลายเป็นกล้าบ้าบิ่นไปซะแทบทุกเรื่อง จำได้ว่า เรียนวิชาพละ
เล่นกีฬาบาสเก๊ตบอลตอนสมัยเรียนมัธยมปีที่ 2 น่าจะได้ ....
ได้เสื้อประจำตัวผู้เล่น คือเบอร์ 5, โดนคุณครูและเพื่อนๆแซวกันยกใหญ่
ว่า "เบอร์ 5 บ้าเห่อ" จำติดหูมาถึงทุกวันนี้ ต่างพากันหัวเราะลั่น
เล่นแบบว่าไม่มีการอายใดทั้งสิ้น
เป็นเพราะดิฉันสูงด้วยมั้ง ท่าทางจึงออกมาดูเก้งๆก้างๆ ตลกๆ
ตอนมอ.2 เพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้เข้าไปถ่ายรูปโมเดลลิ่ง
เผื่อจะได้เป็นนางแบบ เป็นเพราะนางแบบเขาเอาคนสูง ไม่จำเป็นต้องสวย
เอาสิ ไปๆ แต่ต้องไปขออนุญาติแม่อยู่นาน เพราะแม่กลัวโดนหลอก
ด้วยความอยากเป็นนางแบบ เพราะจะได้ถ่ายรูปสวยๆ
และคิดว่าเราจะคงจะกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงต้องฉุด
เพื่อนๆในกลุ่มที่แม่รู้จักมาสาธยายกันไป สอบสวนกันยกใหญ่
ถึงสถานที่ คนดูแล และเบอร์โทรฯ แม่ดิฉันต้องมีหมด
ท่านผู้อ่านคะ ใช่ว่าการได้เข้าโมเดลลิ่งแล้ว
จะโด่งดัง มีชื่อเสียงกันทันที ดิฉันผ่านการเทสต์งานหน้ากล้องมาเป็นร้อยครั้ง
คิดดูค่ะ ว่าครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
พอมีพอกิน บ้านก็อยู่ปริมณฑล แต่พ่อแม่ต้องเสียค่ารถ
เสียเวลามารับส่งดิฉันที่โรงเรียนอีก
หลังเลิกเรียนแทบทุกวัน แม่ต้องมารับที่โรงเรียน รถก็ติด
เวลาทานข้าวก็ไม่มี จำได้ว่าชอบทาน
ข้าวเหนียวหมูทอดในรถแท็กซี่มากๆ เพราะคนขับรถก็คงหิว
ยิ่งได้กลิ่น คงหงุดหงิด รำคาญอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความจำเป็น
และความที่แม่เป็นห่วงลูก จัดเต็มกันไป เป็นกันอย่างนี้มาตลอด
พักใหญ่ เป็นปีๆก็ว่าได้ แม้ไม่เคยได้ซักงานเดียว
แต่ด้วยความมุทะลุไม่ยอมแพ้ แม้ไปเทสต์หน้ากล้องทีไร
จะไม่ผ่าน ก็ถึอว่าเราได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรง ณ เวลาตรงนั้นไปด้วย
ดิฉันว่ามันช่วยขัดเกลาดิฉันให้เป็นคนที่พูดที่มีหลักการมากขึ้น
มีความมั่นใจจากภายในมากขึ้น
ฝึกการถามและการตอบของผู้กำกับกล้อง,ผู้สัมภาษณ์ไปด้วย
เข้าโมเดลลิ่งตั้งแต่อายุ 14 ปี มีผลงานถ่ายแบบนิตยสารบ้างประปราย
มาถึงอายุ 17 ปี ขอทำอะไรที่อยากจะทำด้วยตัวเองบ้าง
เพราะที่ผ่านมารู้สึกว่าเราต้องก้าวไปให้ได้ไกลกว่านี้ จึงเกิดการ
แหกคอก ขอไม่ได้ผ่านโมเดลลิ่ง เป็นอิสระบ้างในบางครั้ง
เพราะถือว่าดิฉันไปหางานเอง โมฯไม่ได้หาให้ หรือด้วยความใจร้อน
อยากก้าวต่อไปให้ไกลกว่าเดิม จึงไปสมัครการประกวดของมิสฯต่างๆ
แต่โชคดีที่ผ่านเวทีแรก ก็ติดอันดับก่อนจะมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
นั่นคือเวทีการประกวด มิสรีวิว
สมัยนั้นเป็นนิตยสารที่นางแบบดังๆมีส่วนร่วมกันทั้งนั้น
ดิฉันติด 1 ใน สิบค่ะ โห ช่วงเวลานั้นตื่นเต้นมาก
เพราะในกลุ่มผู้เข้าประกวดที่เข้ารอบสิบคน ต้องไปลองชุดราตรีกันคนละ 2 ชุด
ตามร้านเสื้อผ้าของดีไซน์เนอร์ดังๆที่มาเป็นสปอนเซอร์
ในวันตัดสิน ทั้งแมวมอง ผู้จัดการส่วนตัว แตกต่างสไตล์ก็มากันให้พรึบ
บ้างก็ติดต่อจะให้ไปประกวดนางสาวไทยบ้างหล่ะ
สุดท้ายตกรอบ ด้วยการตอบคำถามที่ไม่เจนเวที ประหม่า
ขาดประสบการณ์เมื่อมีผู้คนจ้องมองมากมาย กดดัน ตื่นเต้น ไม่หวังล่ะ
ณ ที่ตรงนั้น ถือเป็นโอกาสที่จะมีเหล่าบุคคลที่เรียกตัวเองว่า
ผู้จัดการส่วนตัว หรือแมวมองมาจับจองคนที่ตกรอบ
เพื่อที่หวังจะปั้น ส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันกันให้สำเร็จกันต่อไป
ดิฉันโชคดีค่ะ มีผู้จัดการส่วนตัวดูแล ณ เวลานั้น
เหมือนมาย้อมความมั่นใจ ล้างความประหม่า
ขัดเกลาให้เกิดความโดดเด่นยิ่งขึ้นมาอีก ทั้งสอนและแนะนำในหลายๆเรื่อง
ให้พร้อมในทุกๆงาน และเติมเต็มในสิ่งด้อย แม้ ณ วันนี้
ยังระลึกถึงพระคุณเสมอ แม้จะไม่เคยได้ติดต่อกันเลยมาร่วม 13 ปี ก็ตาม
ต้องขอบคุณความจริงใจที่มอบให้กับเด็กคนนี้
ให้มีพลังเข้มแข้งที่จะก้าวต่อไปในขณะนั้น
จากนั้นประเภทของงานเทสต์หน้ากล้องก็เปลี่ยนไป
จากงานโฆษณา ถ่ายแบบ ก็มาเป็นงานด้านการแสดง ไม่ว่าจะเป็นละคร
และภาพยนต์ เมื่อประเภทของการเทสต์หน้ากล้องเปลี่ยน การกระทำการ
แสดงออกต่อกล้องก็เปลี่ยน ค่ายละครดังๆ,บริษัทผู้สร้างภาพยนต์ชื่อดัง
แม้ผู้กำกับที่ดิฉันรู้จักแต่ในนามก็มานั่งสัมภาษณ์และให้แสดงต่อหน้า
ยากจัง ทำไมการแสดงมันช่างลึกซึ้งและหาความละเอียดอ่อนได้
มากมายปานนั้น ทำไมนักแสดงหลายๆคนที่ิดิฉันรู้จักเขาทำกันได้ง่ายมากๆ
แล้วที่สุด ก็เกิดการสั่งสมประสบการณ์ใหม่
คือได้เรียนการแสดงไปในขณะเทสต์หน้ากล้อง
ย้อนรอยกลับไปเหมือนตอนเทสต์งานโฆษณาสมัยอยู่โมเดลลิ่ง
ดิฉันคิดอย่างเดียว ดิฉันจะไม่ท้อ เพราะมองกลับไปที่บุคคลที่สนับสนุนเรามาตลอด
แถมเหนื่อยยิ่งกว่าเราอีก ต้องทำงาน และคอยมาดูแล
เรื่องปากท้อง สุขภาพ วินัย นั่นคือแม่ดิฉันเอง ดิฉันจึงคิดสู้ต้อไป
จนกระทั้งมีโอกาสได้เข้ามาที่สถานีโทรทัศน์ช่องมากมายกับสีสัน
กระนั้นก็ตาม เข้ามาทำการเทสต์การแสดงอยู่ 3 ครั้ง
ช่วงเวลาก็ถี่ห่างตามกัน มาได้ก็ครั้งสุดท้ายนี่แหละ
นี่เป็นจุดเริ่มต้นกับการที่คนเรียกกันว่า " ดารา"
ตอนที่ 1 นี้ ดิฉันหวังว่าคงช่วยเตือนใจให้กับน้องๆรุ่นใหม่
ได้เห็นถึง การมีใจรักในการร่วมกิจกรรมโรงเรียนอยู่เสมอๆ
ม้นเป็นโอกาสการฝึกฝนที่ดีมากๆ เมื่อเราผ่านจุดนี้ได้
วันนึงในอนาคตเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มสังคมที่ใหญ่ขึ้น
มันจะทำให้น้องๆทำได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะใครก็ตาม
ที่คิดอยากจะทำงานในวงการบันเทิง
และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าในทุกๆการแสดงออก
ได้อย่างไม่เคอะเขิน
ติดตามตอนที่สองนะคะ
ขณะที่ดิฉันได้ทำงานกับคำว่า " ดารา " อย่างเต็มตัวแล้ว
ดิฉันพบเจอกับอะไรบ้าง มันทำให้ชีวิตดิฉันเปลี่ยนไปอย่างไร
ในทางไหน ผู้คนในวงการบันเทิง พวกเขาเหล่านั้น เขามีวิธีการ
การทำงานกันอย่างไร ช่วงเวลาใดเป็นช่วงที่ดิฉันภูมิใจที่สุด
และท้อแท้ใจมากที่สุดจนไม่อยากจะอยู่ในวงการอีกต่อไป
ณ เวลานั้น
ความคิดเห็น