มากแค่ไหนที่คุณเข้าใจตัวเอง




ครั้งนี้ ขออ้างส่วนทฤษฏีประกอบให้เห็นได้ชัดขึ้น  
ความรักการอ่านส่วนตัว ในแนวนี้(จิตวิทยา)
ซึ่งเน้นเกี่ยวกับ เรื่องของ พัฒนาการ การเรียนรู้
เพื่อทำความเข้าใจ ในมนุษย์เรามากขึ้น 
แต่ยิ่งต้องมาค้นคว้า
และนำมาประกอบใช้ให้มากกว่าเดิม
เมื่อต้องก้าวมาเป็นครูสอนการแสดง และบุคลิกภาพ

เชื่อว่าหลายคน ถ้าบอกว่าต้องหาหนังสือ
หรือมานั่งอ่านทฤษฏีอะไรก็ตามแต่
ก็คงเลือกไม่ถูก อ่านไม่หมดเป็นกันแน่ หลายคน
อ่านเจอแล้วก็ปรับใช้บ้าง อย่างเข้าใจ
หลายคน อ่านแล้วก็ลืม ผ่านไป ก็เปรียบเหมือนภาษาที่สอง
หรือที่สาม ถ้าไม่ค่อยได้นำมาใช้บ่อยๆก็ลืม
หรือหลายคนอ่านแล้ว อ่านเข้าไป อ่านยังไงก็ยังไม่เข้าใจ 
เพราะมันคือภาษาทฤษฏี งง เลิกอ่าน ไปอ่านอย่างอื่นดีกว่า
สุดท้าย ก็วิ่งหนีแล้ว ไม่เอา  ไม่เอา ไม่ชอบอ่านหนังสือ


แม้ดิฉันจะชอบศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์มากกว่าทฤษฎี 
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในบางสถานการณ์ 
ทฤษฏีจะไม่มีบทบาทร่วมแทรก
มันมีน้ำหนักอยู่บ้างค่ะ


ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อต้องให้คุณเอ่ยชื่อ ของนักทฤษฏีทั่วโลก
คุณรู้จักใครบ้าง นับมา และแนวทฤษฏีของเขาคืออะไร อย่างไร

อะฮ่า....

คุณเป็นคนหนึ่งที่นั่งขำตัวเองอยู่หรือเปล่า 
จำได้อยู่ไม่กิ่คน หรือรู้จักหลายคนที่เคยเรียนมา
แต่ก็นำหลักการ มาปนกันมั่วไปหมด 
ที่จำได้ก็สั้นๆ แต่จะให้เจาะลึก ก็ต้องมานั่งกางหนังสืออ่าน 
กันหลายรอบ เพราะดิฉันก็เป็นค่ะ 

เอาหล่ะ ไปเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า 
ขอนำทฤษฎีของฟรอยด์ นักทฤษฎีจิตวิทยาคนโปรด
มาบางส่วนมาให้อ่านเล็กน้อย

ซึ่งข้อนี้ฟรอยด์ได้กล่าวไว้ในเรื่องของ
กลไกในการป้องกันตัว ซึ่ง
เป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว
เวลาที่คุณประสบปัญหา เกิดความคับข้องใจ 
การใช้กลไกป้องกัน จะช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา 
เพราะมันช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด
ความไม่สบายใจ 
ทำให้คิดหาเหตุผล หรือแก้ไขปัญหาได้ 
จริงหรือ? 


(Freud, 1856-1939)
กลไกการป้องกันตัว (Defence Mechanism)
ได้แบ่งไว้เป็นข้อๆ ให้อ่านทำความเข้าใจง่าย  ดังนี้
  1. การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความรู้สึกผิดหวัง ความคับข้องใจไว้ในจิตใต้สำนึก จนกระทั่งลืม กลไกป้องกันตัวประเภทนี้มีอันตราย เพราะถ้าเก็บกดความรู้สึกไว้มากจะมีความวิตกกังวลใจมาก และอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้
  2. การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น (Projection) หมายถึง การลดความวิตกกังวล โดยการป้ายความผิด ให้แก่ผู้อื่น ตัวอย่าง ถ้าตนเองรู้สึกเกลียด หรือไม่ชอบใครที่ตนควรจะชอบก็อาจจะบอกว่า คนนั้นไม่ชอบตน เด็กบางคนที่โกงในเวลาสอบ ก็อาจจะป้ายความผิด หรือใส่โทษว่าเพื่อโกง
  3. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) หมายถึง การปรับตัว โดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ตีลูก มักจะบอกว่า การตีทำเพื่อเด็ก เพราะเด็กต้องได้รับการทำโทษเป็นบางครั้งจะได้เป็นคนดี พ่อแม่จะไม่ยอมรับว่าตี เพราะโกรธลูก นักเรียนที่สอบตกก็อาจจะอ้างว่าไม่สบาย แทนที่จะบอกว่าไม่ได้ดูหนังสือ บางครั้งจะใช้เหตุผลแบบ "องุ่นเปรี้ยว" เช่น นักเรียนอยากเรียนแพทยศาสตร์ แต่สอบเข้าไม่ได้ ได้วิศวกรรมศาสตร์ อาจจะบอกว่าเข้าแพทย์ไม่ได้ก็ดีแล้ว เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีเวลาของตนเอง เป็นวิศวกรดีกว่า เพราะเป็นอาชีพอิสระ "การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง" แตกต่างกับการโกหก เพราะผู้แสดงพฤติกรรมไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิด
  4. การถดถอย (Regression) หมายถึง การหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข ตัวอย่างเช่น เด็ก 2-3 ขวบ ที่ช่วยตนเองได้ มีน้องใหม่ เห็นแม่ให้ความเอาใจใส่กับน้อง มีความรู้สึกว่าแม่ไม่รัก และไม่สนใจตนเท่าที่เคยได้รับ จะมีพฤติกรรมถดถอยไปอยู่ในวัยทารกที่ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องให้แม่ทำให้ทุกอย่าง
  5. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) หมายถึง กลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคม อาจจะไม่ยอมรับ ตัวอย่างแม่ที่ไม่รักลูกคนใดคนหนึ่ง อาจจะมีพฤติกรรมตรงข้าม โดยการแสดงความรักมากอย่างผิดปกติ หรือเด็กที่มีอคติต่อนักเรียนต่างชาติที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน การจะแสดงพฤติกรรมเป็นเพื่อนที่ดีต่อนักเรียนผู้นั้น โดยทำตนเป็นเพื่อนสนิท เป็นต้น
  6. การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ Day dreaming) กลไกป้องกันตัวประเภทนี้ เป็นการสร้างจินตนาการ หรือมโนภาพ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้างวิมานในอากาศขึ้น เพื่อสนองความต้องการชั่วขณะหนึ่ง เป็นต้นว่า นักเรียนที่เรียนไม่ดี อาจจะฝันว่าตนเรียนเก่ง มีมโนภาพว่าตนได้รับรางวัล มีคนปรบมือให้เกียรติ เป็นต้น
  7. การแยกตัว (Isolation) หมายถึง การแยกตนให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง ตัวอย่างเช่น เด็กที่คิดว่าพ่อแม่ไม่รัก อาจจะแยกตนปิดประตูอยู่คนเดียว
  8. การหาสิ่งมาแทนที่ (Displacement) เป็นการระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจต่อคน หรือสิ่งของ ที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความคับข้องใจ เป็นต้นว่า บุคคลที่ถูกนายข่มขู่ หรือทำให้คับข้องใจ เมื่อกลับมาบ้านอาจจะใช้ภรรยา หรือลูกๆ เป็นแพะรับบาป เช่น อาจจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อภรรยา และลูก ๆ นักเรียนที่โกรธครู แต่ทำอะไรครูไม่ได้ ก็อาจจะเลือกสิ่งของ เช่น โต๊ะเก้าอี้เป็นสิ่งแทนที่ เช่น เตะโต๊ะ เก้าอี้
  9. การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง ตัวอย่างเช่น เด็กชายจะพยายามทำตัวให้เหมือนพ่อ เด็กหญิงจะทำตัวให้เหมือนแม่ ในพัฒนาการขั้นฟอลลิคของฟรอยด์ การเลียนแบบนอกจากจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมือนบุคคลที่ตนเลียนแบบ แม้ยังจะยึดถือค่านิยม และมีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่เราเลียนแบบในความสำเร็จ หรือล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่จำเป็นจะต้องเลียนแบบจากบุคคลจริงๆ แต่อาจจะเลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โดยมีความรู้สึกร่วมกับผู้แสดง เมื่อประสบความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ หรือเมื่อมีความสุขก็จะพลอยเป็นสุขไปด้วย 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างทฤษฏี ที่บอกต้นกำเนิดของนิสัย
โดยแบ่งประเภท เพียงบางส่วนเท่านั้น 
ซึ่งยังไม่ทั้งหมดของ ฟรอย์ 
คุณหล่ะ เคยใช้(หรือยังใช้อยู่)ข้อไหนบ่อยที่สุด 
แน่นอน ดิฉันมี และน่าจะมี มากกว่าหนึ่งข้อ 
หรือแทบทั้งหมด หรือเปล่า?
ยังต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมันไปเรื่อยๆ 
ชีวิตคือการเรียนรู้ ไม่มีจุดสิ้นสุด
นั่นแหละ คำพูดที่เคยได้ยินกันอยู่บ่อย

ทีนี้มาเรื่องของประสบการณ์ส่วนตัวดิฉัน เองบ้าง

เดี๋ยวจะผิด กับวัตถุประสงค์ กับบล๊อคของตัวเองไป 

ไม่ว่าดิฉันจะอาศัย อยู่ในประเทศบ้านเกิด หรือต่างประเทศ
พบผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างภาษา 
ต่างวัฒนธรรม ต่างการศึกษา
ต่างฐานะ ต่างครอบครัว 
เมื่อได้เรียนรู้ทฤษฎีหลายๆข้อ ของนักจิตวิทยาหลายๆคน 
ดิฉันจึงนำมาปรับใช้อยู่สม่ำเสมอ
มันช่วยได้ดีในเรื่องของ การเข้าใจเขา เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น
ช่วยให้เราพัฒนาตัวเอง ให้รู้จักการให้อภัย
ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ดูถูก ไม่แตกต่าง 
แม้ดิฉันจะเคยเกริ่นกันไปบ้าง
ในบทความตอน "ดินสู่ฟ้า ฟ้าสู่ดินฯ" 
แต่คราวนี้มันลึกขึ้น 
เปรียบเทียบให้เห็นกันชัดขึ้น 
อีกมุมหนึ่งที่คุณอาจยังไม่เคยรู้  

การเขียน เป็นการหาสิ่งทดแทนก็ว่าได้ ในข้อ 8 
ซึ่งต้นเหตุก็มาจาก ข้อที่ 1 ในเรื่องของการเก็บกด 
เพราะกลัว และไม่อยากเป็นโรคประสาท 

เมื่อชีวิตเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน 
มันทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา
ในสิ่งใหม่นั้น อาจเริ่มด้วยความกลัว ความอาย 
ความโกรธ ความเกลียด ไม่กล้าตัดสินใจ 
หรือความละอายใจเมื่อตนเคยทำผิด

ดิฉันเจอเพื่อนใหม่ เธอเป็นคนมีความรู้น้อย 
ความสัมพันธ์ในครอบครัวดั้งเดิมนั้น มีปัญหา 
แตกแยกไม่ปรองดอง ทำให้เธอต้องสู้และผลักดันให้ตัวเอง
มีการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ต้องให้สูงกว่ารากฐานเดิมที่เคยเป็นอยู่ 
(นั่นเป็นคำบอกเล่าจากเธอเอง)
ด้วยถิ่นบ้านเกิด ไม่ใช่เมืองหลวง 
วัฒนธรรมการอบรมเลี้ยงดู 
และการได้รับการศึกษานั้น ก็ดูเหมือน
ผู้คนส่วนใหญ่ ในภูมิภาคที่เธอถือกำเนิด
จะเดินรอยตามไปในทิศทางเดียวกัน
บางครั้ง คำพูด การกระทำ ก็ขาดการอบรม
ในเรื่องของการปรับตัวเข้าหาผู้อื่น 
และมารยาททางสังคมอยู่บ้าง 

ถ้าด้วยดิฉันถือทิฐิ ไม่ใช่คนระดับความรู้เดียวกัน 
พูดจาสื่อสารกัน ก็ไม่ค่อยเข้าใจ สื่อความหมายผิดถูก 
หรือตรงข้ามด้วยการกระทำ 
และถ้ายึดความหยิ่งทนง 
และวางระดับการพัฒนาตัวเอง ไม่ให้ต่ำลง
ดิฉันคงไม่เรียกเธอว่า  เพื่อน 

ทำไมเหรอคะ ดิฉันก็มีหัวใจ มีความรู้สุึกโกรธ
เกลียด เป็น เพราะดิฉันไม่เคยมีเพื่อนที่จะมาสนิทกัน
จริงๆในระดับความแตกต่างที่มีมากมายหลายด้าน
การหย่าร้าง มันทำให้หัวสมองสั่งคำพูดๆนี้ อยู่ตลอดเวลา 
" ต่อไปฉันจะไม่ยอม ให้ใครมาควบคุมฉันได้อีก
เกลียดการควบคุม  ออกคำสั่ง โดยไม่นึกถึงว่า
ฉันจะคิดยังไง  เกลียดพวกที่มาใช้ อำนาจเหนือกว่า
ไม่ชอบคนที่พูดจาไม่มีมารยาท ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ 
ไม่ให้เกียรติไม่ว่าต่อหน้า หรือลับหลัง
ประสบการณ์ในอดีตหลายช่วง  
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงทำตัวหนีหาย ไม่คบ 
ไม่พยายามติดต่อ ทำไป


หลายครั้งค่ะ ที่ดิฉันพยามนำทฤษฎีของฟรอยด์ 
มาเป็นแรงบันดาลใจ เพื่อทำความเข้าใจอย่างไม่ถือโกรธ 

ก็..........การศึกษาเธอน้อยมั้ง 
ทำให้มีความเข้าใจ ในสิ่งเกิด น้อย ยังไงหล่ะ

ก็..........คำพูดคำจาบางครั้ง แบบห้วนๆ ไม่ค่อยมีมารยาท
ดิฉันเป็นคนพูดจาดีกับคนที่พูดจาดี 
แต่ถ้าคนนั้นพุดจาไม่ดี ห้วนๆ ดิฉันก็ต้องปรับระดับภาษาลง
ให้ห้วน ไม่มีมารยาทบ้าง เพื่ออยากให้เธอรู้ 
หรือเป็นการกล่าวเตือนทางอ้อม เมื่อเธอได้ฟังแล้ว 
เธอจะรู้สึกอึดอัด และน้อยใจโกรธ บ้างมั้ย
แต่ดิฉันก็คิดว่าเธอคงไม่ได้รับการอบรมมา
ในทางที่ถูกที่ควร มากนัก ยังไงหล่ะ

ก็..........ครอบครัวเธอคงมีปัญหามั้ง จึงมีตัวอย่างประสบการณ์
ส่วนตัว ทำให้ฝังใจพยาบาท เจ็บแค้น 
ทำให้มองผู้อื่นหรือมองโลกในแง่ร้ายอยู่บ้าง  ยังไงหล่ะ 

ก็.........เธอชอบพูดเรื่องคนโน่นคนนี้ในทางที่ไม่ดีให้ฟังอยู่เรื่อย
บางครั้งอยากจะตอบไปว่า ก็ไปพูดให้เขาคนนั้นฟังสิ 
จะมาทำให้ดิฉันเกลียดเขาคนนั้นตามไปด้วย ก็ใช่เรื่อง 
มันถือเป็นการตัดสินใจของตัวดิฉันเอง 
จะมีความสัมพันธ์กับใคร ในทางไหนก็ตาม 
เธอเป็นคนที่ยังไม่เปิดใจไม่เป็นมั้ง   ยังไงหล่ะ 

ก็...... ทั้งหมดที่เธอเป็นมั้ง  เธอถึงมีเพื่อนน้อย 
เธออาจจะเก็บกด หรืออยากระบายบ้าง ยังไงหล่ะ 


และยังมีอีกมากตัวอย่างเรื่องราวในชีวติของดิฉัน
กับผู้คนหลากหลายมากมายที่ผ่านเข้ามา
ประกอบกับกำลังของคนรักทำให้เรามีความสุข

หลายๆอย่าง ดิฉันอยากให้เพื่อนๆ ลองนำคำสามคำในประโยค
ไปปรับใช้ดูบ้าง 
นั่นคือ ก็.............มั้ง..............ยังไงหล่ะ 
เพราะหตุคืออะไร (มั้ง) ผลก็คง (ยังไงหล่ะ) 
แต่ยังไงหล่ะนี่ ต้องเป็นสื่อภาษาใจของคุณ
เป็นการเข้าใจแบบไม่โกรธ ให้อภัย ไม่ถือสานะคะ

มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ทำให้คุณมองผู้อื่นและเข้าใจเขา
ได้มากขึน อาจไม่ได้ผลเสมอในทุกครั้งไป แต่ก็ไม่เสียหาย
และศูนย์เปล่า เมื่อใดก็ตามที่คุณยังพยายาม

ความโกรธความเกลียดดิฉันบังเกิดมี

แต่ต้องนำความเข้าใจมาดับไปซะทุกครั้งจึงอยู่ได้

เมื่อไหร่ ที่คุณขาดความเข้าใจแบบให้อภัย

ความโกรธ ความเกลียดทั้งหลาย มันจะหวนย้อนกลับ

ทำให้ตัวคุณเองไม่สงบ ไม่เกิดสันติในใจ 

กระวนกระวาย ทุกข์ กังวลอยู่ร่ำไป 

ถ้าทุกวันนี้ เพื่อนมนุษย์เรา มีความเข้าใจเป็นตัวพื้นฐานหลัก
ในสิ่งที่มนุษย์กระทำ มันคงทำให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนมนุษย์
เกิดสันติสุขได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว
สถานศึกษา เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัท 
องค์กรใดๆ ก็ตาม 

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ยังพยายาม ที่จะสร้าง
และปลูกฝังตัวเอง ไม่ให้ถือโกรธ 
ถือสา ถือโทษ รักการให้อภัยในทุกเรื่องราว
อยู่ในทุกๆวัน

ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนผู้อ่านทุกคนค่ะ 





ใบไม้ยังเปลี่ยนสี


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วันนั้นถึงวันนี้ กับคำว่า "ดารา" ตอนที่ 1