กว่าจะถึงวันนั้นผ่านมาจนถึงวันนี้ กับชีวิต 
ที่คนทั่วๆไปเรียกกันว่า "ดารา" 

ตอนที่ 3 


กลับมา  ด้วยอารมณ์สุนทรีย์ในการเขียน กันอีกครั้ง
กลับมา   บอกเล่าเรื่องราว ในสิ่งที่อยากให้ กันอีกที
กลับมา  ผูกความต่อเนื่อง จากบทความตอนก่อนหน้านี้
กลับมา ให้ผู้อ่านไม่หลงลืมประเด็นอันมากมี
จากอะไรที่ ดิฉันได้เขียนไป


จุดประสงค์หลักของคราวก่อน
ดิฉันได้นำเสนอ ให้ผู้อ่านที่มีความสนใจเฉพาะอาชีพ
ได้แก่นของมัน นำข้อคิดบางอัน กลับไปได้ตรึกตรองกัน

จะเน้นไปในทางความสัมพันธ์ กับเพื่อนร่วมงาน 
กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแรกเริ่มซะส่วนใหญ

เริ่มทำงาน มันก็มีดีบ้างแย่บ้าง 
ข้อเสียของการมีสัญญาผูกมัด
ณ ตอนนั้น คือ ไม่ได้คิดให้ตัวเอง แข่งขันกับความ
ก้าวหน้าของตัวเอง

คิดผิดไปว่า ก็เป็นเด็กในสังกัด 
ยังไงก็ต้องมีงานให้เราตลอด 

คิดผิดไปว่า วางตัวได้ดี ปฎิบัตตามสัญญาระบุไว้ 
ทุกบรรทัด 
มีหรือจะไม่มีงาน 

ใช่ค่ะ มีงานตลอด แต่,,,

เมื่อย้อนดูตัวเองผ่านจอแก้ว ในละครทุกๆเรื่อง 
พัฒนาการ มันช่างช้าเหลือเกิน
และเพียงน้อยนิดเท่านั้น ที่จริง
ถ้าเราตั้งใจ ใส่ใจกับมันให้มากกว่านี้ 
ก็.......(.....) 

มัน.......ทำให้ 
OK.. มีชื่อเสียงจริง 
เป็นที่รู้จักในวงการนี้จริง
แต่คนส่วนใหญ่ หรือผู้คนที่ได้รู้จักเรา 
เขารู้จักแค่ว่า เราเป็นนักแสดง หรือเปล่า?
เราเล่นละครเรื่องนี้ไง?
เราแสดงละครกับใคร ไง ?
ออนแอร์ช่องไหน  เวลาใด 
ชื่นชม เพราะน่ารัก สวย ดูดีมั้ง หรือเปล่า?
เพียงเท่านั้นเองหรือ 
ซึ่งดิฉันมีแบบฝึกหัดมาให้นั่งเขียนกัน
ลองนึกคิดเล่นๆ ดูสิคะ ว่า 
ใครเป็นนักแสดง ที่คุณชื่นชอบบ้าง (เพราะอะไร ?)
และใคร เป็นนักแสดงที่คุณรู้จักบ้าง(จากสื่อไหน)
มันต่างกันยังไง



แต่ ประสบการณ์การเติบโตที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกวัน 
มาถึงวันนี้ 
มันทำให้ดิฉันมองย้อนเห็นได้ชัดเจน 
ว่า ณ เวลานั้น สิ่งที่ดิฉันขาด คือ
ความสำเร็จใน
การเป็นนักแสดงจากแก่นใน
นั่นคือ "การตีบทแตก"  
หรือ "การทะลุถึงบทบาท"
ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่า  
คุณเป็นตัวเด่น ได้บทนำ เท่านั้น 
ตัวละครประกอบ ก็สามารถ
นำแก่นในออกมาให้ประสบความสำเร็จ
ได้เช่นกัน


คนรุ่นใหม่ นักแสดงหน้าใหม่ๆส่วนมากเท่าที่เห็น
ในสถานการณ์ปัจจุบัน 
ก็เผลอ คิดเดินทางที่ผิด 
เหมือนกับดิฉันได้เคยผ่านมาแล้ว
ไม่ว่าจะมีสัญญาผูกมัด หรือไม่มีก็ตาม 


มีความภูมิใจแรก 
ที่เข้าวงการ
นั่นคือ 
ช่างภูมิใจเสียจริง 
ที่ได้เป็นคนที่มีชื่อเสียงแล้ว 
เป็นที่รู้จักแล้ว  หรือคนเป็นคนดังแล้ว

(การมีคนรู้จักเรา ไม่ผิด และไม่เสียหาย
ถือเป็นกำลังที่ดีอีกด้วย 
ว่าผลงานของเรา ก็มีคนชม 
หรือติดตาม)

แหม..ดิฉัน
มีสปิริต ในการทำงานเต็มร้อย
ภูมิใจกับตัวเองจริงๆ  

คุณรู้มั้ย ว่าบางครั้ง คำเหล่านี้ 
มันอาจทำให้คุณขาดวินัย 
ถ้าคุณอยากเป็นนักแสดงมืออาชีพ
หรือมีใจรักกับอาชีพนี้จริงๆ
คำพวกนี้ อย่าได้ให้เผลอ 
มาทำร้ายคุณเด็ดขาด 
มันจะมาทิ่มแทง ความกระตือรือร้นของคุณ
และพาลหาเรื่องกับการพัฒนาศักยภาพ 
ในการแสดงของคุณ 

อย่าสับสนนะคะ ว่า 
ใช่ค่ะแม้ดิฉันเคยกล่าวไว้ ว่าคุณมีงานตลอด
เพราะ


วางตัวดี ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดี
นั่นเป็นเพียงความสำเร็จภายนอก
ที่มาครอบกรอบ แห่งความสำเร็จที่แท้จริง
หรือแก่นใน ในอาชีพ ของคุณ 
เท่านั้นเอง



ณ ตอนนี้ คุณอาจจะเริ่มเห็นความแตกต่างบ้างแล้ว
กับคำว่า "ดารา" กับ "นักแสดง" 
(ยังไม่ได้รวมถึงบุคคลในวงการบันเทิงใน
ต่างสถานะ ที่อยากจะกล่าวถึงในตอนต่อๆไปในบทความนี้)

ถ้าคุณไม่มีสัญญาผูกมัด
คุณก็จะเสี่ยงต่อปริมาณ
การเพิ่มงานของคุณ 
มันยากที่จะทำให้คุณมีงานต่อเนื่อง 

ขณะนั้น แม้ดิฉัน จะได้กล่าวไว้ ว่า
ดิฉันมีใจรักที่จะทำงานในวงการบันเทิง
แต่ไม่ได้ตีความตรึกตรองให้ละเอียด

 ว่างานประเภทไหนที่มันเหมาะกับ
ศักยภาพการทำงานของเราในตอนนั้น 

เมื่อคุณได้ก้าวเข้ามาวงการบันเทิง
คุณจะเป็นบุคคลที่มีโอกาสใน
อาชีพการทำงานใหม่ๆที่แตกต่าง 
มากกว่าวงการอื่นๆ
โดยผ่านการเสนอให้
มากกว่าที่คุณขวนขวาย
เช่น 

งานโชว์ตัว 
1. ฐานะแรก แขกรับเชิญ
การตอบการสัมภาษณ์ของคุณ มันทำให้
ผู้ชมรู้ว่า คุณมีความรู้รอบตัว หรือหลักการ
ในการตอบมากแค่ไหน 
(อย่าได้สวยแต่คนทั่วไปเรืยกว่าไม่มีสมองเด็ดขาด)

2. ฐานะ นักร้องรับเชิญ

ไม่ว่าจะงานเล็ก งานใหญ่ งานกุศล
นักแสดง ก็ต้องมีเตรียมไว้
ต้องมีเพลงๆนึงที่ร้องได้ และมีความหมายดี
และเลือกให้เหมาะสมกับงาน 
นี่คือเหตุผล ว่าทำไม บางครั้ง ถ้าเสียงร้อง
ของคุณไม่ดี ก็ต้องไปฝึกร้องซะให้เก่ง

3.ฐานะ พิธีกร

ตอนนั้น ดิฉันก็ทำตามความสามารถที่มี 
ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากนัก
มีผิดพลาด ปล่อยไก่ไปบ้าง 
ได้แต่อาศัยการเรียนรู้ และเจนเวทีไปเรื่อยๆ
เสียดายที่ไม่ได้มีเวลาใส่ใจกับมันให้มากกว่านั้น

และยังมีอีกมาก ที่แฝงรายละเอียดไว้นับไม่ถ้วน
(ขออนุญาติเพิ่มรายละเอียดในตอนต่อๆไป)

ผลที่ตามมา หลังจากก้าวข้ามเข้ามาเป็นนักแสดง
ยังไม่มีแค่นั้น
เรื่องของ รายการ  Talk show , Game show
และงานถ่ายแฟชั่น, เดินแบบ,วิทยากรรับเชิญ
ฯลฯ
ทั้งหมด คุณไม่สามารถคาดการณ์ได้
ว่างานไหนที่คุณชอบและเหมาะกับคุณที่สุด

ดิฉันผ่านมาทั้งหมด ตอนนั้น คือชอบทำทั้งหมด
แต่ไม่ได้คิดเลือกเฉพาะเจาะจงไกลไปถึงอนาคต
ว่าจะเลือกงานประเภทใด เป็นอาชีพหลัก
และงานประเภทใด เป็นอาชีพรอง
เพราะคิดแต่ว่า งานเหล่านี้ มันจะเวียนมาล้อมรอบ
เราอยู่เรื่อยๆ เลยไม่ได้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพราะคุณต้องทำให้ได้ในทุกๆประเภทงาน

จนมาถึงวันนี้ ประสบการณ์การเป็นครูสอนการแสดง
มันทำให้เรามองย้อนกลับไปมองการทำงานของเราในอดีต
ได้ลึกขึ้น  คำว่าวงการบันเทิงมันกว้างมากจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่เบื้องหน้า เบื้องหลัง
ใช่แน่นอนค่ะ เมื่อ ณ ปัจจุบัน ดิฉันมีโอกาส
ได้อยู่เบื้องหลังบ้าง มันทำให้คุณมอง
งานเบื้องหน้าได้ดีและเข้าใจมากขึ้น
มันมีอะไรซ่อนอยู่มายมาย จนอยากที่จะนำมาแบ่งปัน
บางครั้งคนเราส่วนใหญ่ จะมองไม่เห็นฝั่ง
ความสามาถของตัวเอง
ได้ดีเท่ากับคนที่อยู่อีกฝั่ง หรือด้านที่แตกต่าง

บทความตอนนี้ ให้เพื่่อนผู้อ่าน หาแก่นหลักให้เจอกันก่อน
ว่าดิฉันอยากบอกอะไร ที่เกิดประโยชน์ และข้อคิดดีๆกันบ้าง

ยังไม่อาจจบ กับเรื่องราวที่สะสมมามากกว่า สิบๆปี
มันมีอะไรให้เรียนรู้ลึกลงไปมาก และอยากจะเขียน

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด
และพบกันใหม่ ในตอนต่อไปค่ะ

พระเจ้าอวยพระพร
































ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วันนั้นถึงวันนี้ กับคำว่า "ดารา" ตอนที่ 1