" วันหนึ่ง ของการอบรม ณ กรุงปารีส "



สองวันก่อน
ดิฉันได้มีโอกาส
เข้าร่วมอบรม จัดให้โดย OFFI
เป็นการอบรมของเทศบาล
ผู้มีอำนาจจัดการ และเกี่ยวข้อง
 ณ กรุงปารีส
มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทุกคน
ต้องมีในพันธสัญญา เกี่ยวกับ
การมีมาซึ่งบัตรพำนัก ระยะยาว
ในประเทศฝรั่งเศส

เอกสารก็เขียนชี้แจงอย่างละเอียด
ว่าถ้าคุณต้องการคนแปล ให้เรียกร้อง
ขอได้

แต่พอไปถึง คนเดียว ดำๆ (ชาวผิวดำ)
เออนะ เท่าที่เห็น(วิทยากร)
ชั้นเรียนนี้ มีนักเรียนประมาณ
ไม่น่าจะเกิน 30 คนได้

คนผิวตำซะส่วนมาก 
ทัศนคติ กับชนชาวผิวดำนั้น 
มันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น 
ตั้งแต่ที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน
ประเทศอินเดีย ปี 2007
แม้จะมาทางคนละซีกโลกก็ตาม
พวกเขาน่ารักค่ะ มีน้ำใจ 
มิตรภาพเป็นตัวนำที่ทำให้เราร่าเริง
และไว้วางใจที่จะสนทนาด้วย

ในวันนั้น มีคนไทยรวมถึงตัวดิฉันด้วย
อยู่  4   คน
" Excuse me, Do you speak English ? "
ดิฉันถามเพื่อนคนไทยด้วยกัน
ได้ตอบมาว่า
" A little "

จากนั้น ดิฉันถามต่อ
" Where are you from? "

เธอตอบมาตรงๆ สั้นๆ
" Thailand "

" อ้าว คนไทยด้วยกัน ก็พูดไทยแล้วกัน "
ดิฉันตอบจบ

เธอคนนี้ วัยกลางคนปลายๆแล้ว
เธอไม่ได้เชิญมาเข้าอบรมในครั้งนี้
แต่มาส่งบุตรสาว อายุ 16 ปีที่นั่งอยู่ข้างๆ

ภาพลักษณ์แรกของเด็กคนนี้ 
ที่ดิฉันได้สำรวจจากภายนอก
เธอก็น่ารัก แต่กิริยาท่าทาง การรับฟัง 
และความกดดัน ตื่นเต้น จากสิ่งแวดล้อมภายในห้อง
ทำให้เท้าของเธอ ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ 
นั่งไขว่ห้าง และแกว่งเท้าอยู่ตลอดเวลา 

ทุกคนพร้อมเพรียง
ไม่มีคนแปล มา ณ ที่นี้

ดิฉันได้ถาม วิทยากร
อีกเช่นกัน ถ้าเขาสามารถ พูดบรรยาย
บางช่วง เป็นภาษาอังกฤษได้มั้ย
วิทยากรเลยบอกว่า ได้นิดหน่อย
และถามกลับ
 ว่าเราพอเข้าใจภาษาฝรั่งเศสมั้ย
ดิฉันก็ตอบไป ได้นิดหน่อยเช่นกัน ยังไม่เก่ง
(อืมมมม ก็ยังดี)
ไม่ได้ล่ะ กลัวไม่เข้าใจ ข้างๆดิฉัน
มีนักศึกษาหญิง อายุ 18 ปี ได้ความมาว่า
เธอพูดภาษาอังกฤษได้ !!!
ตีสนิทค่ะ ตีสนิท เพื่อให้เขาแปลให้เรา (ฮ่าๆๆ)

แต่คนที่มีฐานะเป็นมารดา ของหญิงสาว
โวยวายค่ะ โวยวายเสียงดัง ว่า
อย่างนี้ ลูกสาวเขาจะไม่เข้าใจ
"  มาอบรม แต่ไม่เข้าใจ
จะมาทำไม ทำไมไม่มีคนแปล "

วิทยากรอึ้ง กับกิริยาที่เธอแสดงออก
ดิฉันเลยเสนอ พูดไปว่า
" ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยว จะแปลให้ฟัง
จากภาษาอังกฤษ เป็นไทยให้น้องอีกที "

เธอก็เงียบไปซักพัก
แต่รู้มั้ยคะ คนทั้งห้อง หัวเราะเธอเอามากๆ
ไม่มีใครโกรธ แต่ทุกคนขำ
ดิฉันก็ขำค่ะ แต่เก็บไว้ในใจ

แต่พอวิทยากร เดินเรื่องไม่นาน
เธอก็ไม่สงบค่ะ ถามว่าจะเสร็จกี่โมง
มีพักมั้ย  และก็บ่นตลอดเวลา ว่าลูกสาวไม่รู้เรื่อง
ลูกสาวเธอ ก็ไม่พูดอะไรซักคำ ได้แต่แกว่งขา ยิกๆ

ทุกคนในห้อง มองมาที่เธออยู่หลายครั้ง 
ในเมื่อเป็นคนไทยด้วยกัน ความเกรงใจก็เกิด
ไม่อยากให้พวกเขา
มองว่าคนไทย 
ไม่มีมารยาท ในการเข้าฟังการอบรม 
และคนไทยเป็นแบบนี้เหรอ 

ดิฉันก็เสนอตัว กับเธอไปอีกว่า
" คุณแม่มีธุระอะไรที่ไหน ก็ไปทำก่อนก็ได้
อยู่ทางนี้ไม่ต้องห่วง เดี่ยวดิฉันช่วยดูแลน้องเอง "

หลังจากยิง ประโยคนี้ไป โอ้โห้ คุณแม่ดีใจ
และยิ้มมาทันที แต่ไม่มีขอบคุณซักคำ
ดิฉันก็ไม่ถือสาค่ะ

เธอสั่งเสียลูกสาวก่อนไป
และบอกว่าจะมารับช่วงบ่าย
ไปแล้ว!!  ห้องค่อยสงบมาหน่อย
ดิฉันขอวิทยากร ย้ายที่มานั่งด้านหน้าสุด
และเธอก็ตามมา พร้อมกับเพื่อนนักศึกษา
ที่เธอจำทำหน้าที่แปลฝรั่งเศส เป็นอังกฤษให้กับเรา

วิทยากร เป็นชาวผิวดำ
รูปร่างใหญ่ แต่งตัวสุภาพ เสื้อเชิ้ต
กางเกงแสลค  คลุมด้วยสูทสีคลาสสิค
ใส่แว่น (อืม เป็นชาวผิวดำที่ดูดี ให้เกียรติ)

ทุกคนมีความสุข บรรยากาศเป็นกันเอง
มาถึงช่วงที่ทุกคนต้องแนะนำตัว ให้แก่เพื่อนๆในห้อง

เวียนวนมาจนถึงดิฉัน ก็
" Bonjour  Enchanté
Je suis Thaïlande. "

พูดได้แค่นั้น วิทยากรยิ้มแย้ม
และพยามถาม คำต่อคำเป็นฝรั่งเศส
แต่เราตอบเป็นภาษาอังกฤษ และ
ถามเพื่อนนักแปลข้างๆ ควบคู่ไปด้วย

จนชาวตรุกี ข้างหลังห้องแซว
ตกลกเรามาเข้าอบรม เรียนรู้
เกี่ยวความเป็นอยู่ของฝรั่งเศส
หรือมารับรู้เรื่องราวของประเทศไทยกันแน่

ทุกคนหัวเราะลั่น
ที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องการ ล้อเล่น เป็นที่หนึ่ง!!

จบไป วิทยากรก็นำเสนอ โดย
Power-point ดิฉันก็ถ่ายรูปเก็บไว้ทุกหน้า
เพื่อที่กลับบ้าน จะมาเรียนรู้และฝึกแปล
ด้วยตนเองอีกครั้ง

แม้การเข้าอบรมครั้งนี้เป็นการอบรม
ความรู้รอบตัวพื้นฐาน ในระดับเดียวกัน
กับเด็กประถมฯ สำหรับดิฉันมีประโยชน์
อันมาก ทั้งเขียน ทั้งถาม ทั้งถ่ายรูป ทั้งแปล
บางอันให้น้องข้างๆ

ทำไมถึงบางอันล่ะคะ

ก็น้องบอก เขาเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมา
ก่อนมาอยู่ที่นี่ (มาอยู่ได้แค่ 4 เดือน)
อ้าว " อย่างนี้ก็เข้าใจฝรั่งเศสสิคะ "

"ค่ะพี่ บางอัน " น้องตอบ
" อย่างนี้พี่ไม่แปลให้น้องทุกอันแล้วนะ
อันไหนไม่เข้าใจค่อยถามแล้วกัน "
ดิฉันสวนไป แบบอารมณ์ที่ถ้าทุกคนเจอ
ในกรณีเดียวกับดิฉันนั่นแหละ คงเข้าใจ

การอบรมเริ่ม 9:30  น.
เดินเรื่องไปถึง  10: 30 น.
วิทยากรบอกทุกคนพักเบรก ไปเข้าห้องน้ำ
และดื่มชา กาแฟ

"โอ้ย เขาไม่ได้ให้เรากินข้าวเหรอพี่ "
น้องคนไทยถามด้วยอารมณ์กระวนกระวายต่อเนื่่อง
" ที่นี่เขาจะพักเบรก ให้ดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ ประมาณนั้นค่ะ
มันเป็นธรรมเนียม "
ดิฉันตอบไป

" แต่หนูหิวข้าวแล้ว " น้องว่าต่อ
" อ้าว แล้วเมื่อเช้าไม่ได้ทาน Breakfast มาเหรอ "
ดิฉันถาม

" ดื่มนม กับครัวซองมาแล้วพี่ แต่มันหิวน่ะ "
น้องตอบ แต่ดิฉันเงียบ
ไม่ขอพูดต่อ เหนื่อยค่ะ
คิดในใจ
เด็กๆนะ ความอดทนน้อยจัง
ดิฉันเป็นครูสอนบุคลิกภาพ
ความเป็นครูอยากจะสอนน้อง
ไปซะตรงนั้น เรื่องมารยาทสังคม
และการเข้าประชุม การวางตัว
ดิฉันได้แต่เก็บไว้ อย่าเลย
ดูท่าแล้ว สอนไปก็คงไม่รับ
เดี่ยวหาว่าเราไปว่าเขาอีก
ปล่อยเขา และพยายามเข้าใจสิ่งที่เขาเป็น

จากนั้น
ทุกคนเข้าห้องต่อเนื่อง
เพื่อนๆผู้อ่าน ยังไม่ลืมนะคะ
ดิฉันเกริ่นไว้ตอนต้น ว่ามีชาวไทยอยู่ 4 คน
คนแรก ในฐานะแม่ ไปแล้ว น้องคนไทย 2
ดิฉัน 3 คนสุดท้าย เพศที่สาม ในภาพของสตรีเหล็ก

พี่แกอายุมากแล้ว แต่แต่งตัววัยรุ่น
ดิฉันเองได้แต่ทักทาย ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
เพราะนั่งคนจุด

แต่เขาจะนั้งเยื้องไปทางน้องผู้หญิง
เพิ่งจะ 11 โมงครึ่ง น้องผู้หญิง ก็
ท้องร้องเสียงดัง ได้ยินกันทั้งห้อง
น้องไม่มีสมาธิรับฟังเอาซะเลย
ได้แต่ หิวข้าว เมื่อไหร่จะปล่อย
แต่นั่นยังไม่หนักเท่า มีเสียงสบทบ
มาจากสตรีเหล็ก เข้าไปอีก
ทุกคนยังสนใจฟังอย่างเข้าใจ
แต่สองคน ชาวไทย ได้แต่ดูเวลา
และบ่น ทำตัวยุกยิกๆ อยู่ตลอดเวลา

จนวิทยากร เอ่ะใจถาม
" Ca va? "  ( สบายดีมั้ย เป็นอะไรหรือเปล่า )
คนโตดอบว่า  " Manger " มองเช่
ทุกคนในห้องหัวเราะลั่น

ตอนนี้กลายเป็นตราไปชั่วขณะว่า
ทั้งห้อง กลุ่มที่มีปัญหา อยู่ตลอดเวลา
คือ คนไทย

(หนักใจค่ะ คิดไปตอนสมัยดิฉันทำงาน
ข้าวปลาไม่ได้ทานไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอรับผิดชอบ
ทำงานให้จบๆก่อน ไม่ใช่ว่าเสียเวลาไปมาก
เขาบอกมีพักทานข้าว
ก็ต้องมี อีกอย่างคนที่นี่
ทานมื้อเช้าสาย มื้อเที่ยงบ่าย
มื้อเย็นดึก เป็นวัฒนธรรม)

ดิฉันก็ได้แต่คิดว่า น้องเขาคงยังเพิ่งปรับตัว เด็กอ่ะนะ
ความอดทนน้อย แต่ตัวพี่ใหญ่นี่สิ
ได้ข่าวว่ามาอยู่ปารีส มากกว่า 20  ปี แล้ว
น่าจะรู้ธรรมเนียมดี
แต่เพราะเธอ บ่นตลอดช่วงเช้า
ว่า
" ไม่รู้จะให้มาอบรมทำไม
ยังกะสอนเด็กอนุบาล "

เที่ยงปุ๊บ วิทยากรปล่อยปั๋บ
ทุกคนก็ทยอยออกจากห้อง
วิทยากร ได้รับงบ มาจาก OFFI
ให้พาทุกคนไปทานมื้อกลางวัน ร้านอาหารข้างๆ
ก็ไม่จบค่ะ

เพราะพวกเขาเลือกง่ายๆ และใกล้ๆ
 " เคบับ " แซนวิสสไตล์ อาหรับ
แต่เพื่อนหญิงที่แปล ดันไม่ชอบเอามาก
บวกกับเพื่อนคนไทย หญิงสตรีเหล็กบอกมี
ข้าวราดแกง อาหารไทยอยู่ข้างๆ ไปกินกัน
 กลุ่มเราไม่กี่คน ก็ไปทานราดแกง เราก็ชอบ
แต่ต้องจ่ายเงินเอง
โอเค ไม่เป็นไร อยากทานอร่อย ก็จ่าย เรื่องธรรมดา
แต่น้องผู้หญิง ที่เรารับปากกับแม่เขาว่า
จะดูแลน้องเอง อุทานมาว่า
" หนูไม่มีเงินติดตัวซักบาทเลยพี่ "
(คิดในใจ มันจะอะไรอีก )
" ไม่เป็นไร เดี่๋ยวพี่ออกให้ก่อน " ดิฉันตอบ

จบ

การอบรมช่วงบ่าย
สนุกสนาน คึกคึกกว่า ช่วงเช้า
วิทยากรมีเกม ถามตอบ สนุกๆมาให้กันเล่น

ดิฉันตอบคำถามได้ดี และถูกต้อง
( ความภูมิใจ สำหรับการตั้งใจฟัง )

วิทยากรถามน้องข้างๆ
น้องก็ตอบ
" Oui  Oui Oui "
วิทยากรหัวเราะ
นี่แหละ ชาวเอเซียส่วนใหญ่
เข้าใจไม่เข้าใจก็ตอบ Yes  ไว้ก่อน
(เสียเราเลย)

ก็เลยช่วยน้องไป
พี่สตรีเหล็กข้างหลัง ก็อ้ำๆอึ้งๆ
" น้องช่วยหาคำตอบให้พี่ด้วย
พี่ขี้เกียจคิด "
(อ้าว มีอย่างนี้ด้วย ความรู้สึกว่า อะไรวะ
มันแทรก แต่ก็ เข้าใจเขาแล้วกัน
เขาคงเป็นคนขี้เกียจ )

เพื่อนๆ ผู้อ่านคะ ช่วงเช้า
เพื่อนคนไทยด้วยกัน สองคน
กระวนกระวาย พรึมพรำอยู่ตลอดว่าหิวข้าว

แต่ลองทายสิคะ ทานข้าวแล้ว ตกบ่าย
พวกเขาจะพรึมพรำอะไรกัน

................................?

ถูกค่ะ " ง่วงนอนนนนนน"
หาวแล้วหาวอีก นั่งหลับก็เป็นพักๆ

ดิฉันได้แต่ถอนหายใจค่ะ
ทำไรไม่ได้ ชีวิตเขา เรื่องของเขา

พอจบการอบรม
กินเวลาไปเกือบทั้งวัน
วิทยากรแจก ใบประเมินให้กรอก
เป็นภาษาฝรั่งเศส
ด้วยความสนใจ ถามเพื่อนนักแปลอยู่ตลอด
จึงเป็นธรรมดา ที่กรอกข้อมูลได้ถูกต้อง

เราก็ช่วยน้องเป็นธรรมดา
แต่พี่สตรีเหล็ก ที่ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร
และเชิดหน้าเชิดตา เหมือนไม่สนใจ อยู่ตลอดเวล
มันเป็นเรื่องใหญ่ ที่เขาต้องเสียหน้าบ้าง
มาถามเรา
" ขอพี่ลอกหน่อยนะ พี่ไม่รู้จะเขียนอย่างไร
พี่เขียนไม่เป็น "

ดิฉันก็ให้ไปค่ะ

สุดท้ายจริงๆ
วิทยากร จะมีการแจก ใบเกียรติบัตรรับรอง
ให้กับทุกคนในวันนี้

พี่สตรีเหล็ก ก็ดึงของเขาเก่า เนิ่นนานมาโชว์ทุกคน
" ดูสิ พี่ก็มีหมดแล้ว จะเอาสีไหน กี่ใบ บอกมา "

มันทำให้ดิฉันคิดได้ว่า 
สำหรับเขา ก็สมควรส่งมาอบรมแล้ว อบรมเล่า
เพราะอยู่ปารีสมา 20 ปี แต่ไม่มีใจใฝ่พัฒนา
แม้จะเขียนใบประเมิน ยังเขียนไม่เป็น
ไม่แปลกใจ ว่าทำไม เธอถึงยังต้องมา


ขอเพื่อนผู้อ่าน
ดึงข้อคิดดีๆ
ออกมาให้เจอ
มีหลายจุด
อย่างน้อย ทำให้
ตัวดิฉันเอง
มองผู้คนอย่างเข้าใจ
มากขึ้น
กับคำว่า
" ไม่แปลกใจ "




เป็นมุมมองหนึ่ง ในวันหนึ่ง
ณ ครั้งหนึ่ง ในปารีส
ทำให้ดิฉันนึกถึงตอนสมัยเรียนหนังสือ

ใครตั้งใจก็ได้ดี สอบผ่าน
ใครไม่สนใจ ก็ตามน้ำตามเนื้อ
ขอให้เพื่อนผู้รักการอ่านทุกคน
เป็นบุคคลที่อยากพัฒนา
และใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา
นะคะ และคุณจะพบกับความสำเร็จ
และไม่แปลกใจกับสิ่งที่คุณได้มา
สำเร็จ หรือไม่สมหวัง 
มันอยู่ที่ตัวเราเอง


พระเจ้าอวยพระพร













ความคิดเห็น

Jatuporn กล่าวว่า
เรื่องเล่าจากมุมหนึ่งของปารีส
ของน้องแอล - สาวไทยพลัดถิ่นที่นั่น

งานเขียนเรื่องเล่าเล็กๆที่เราสามารถจินตนาการเห็นบรรยากาศ
เห็นจุดเล็กๆใน Class เรียน ที่เราเชื่อมมายังสังคมใหญ่ๆได้
ในฐานะที่เป็นคนไทย ต้องยอมรับว่า...เรื่องเหล่านี้
เป็นเรื่องจริง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วันนั้นถึงวันนี้ กับคำว่า "ดารา" ตอนที่ 1